Forget what went before.
Mission of Project i, BMW AG, 2008
Rethink Everything.
ไลน์อัพของ BMW ในปัจจุบันทั้ง BMW i3, BMW i4, BMW i8, BMW iX3, และ BMW iX คงจะบอกได้กลายๆ ว่าการจะเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนสักคันในยุคนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ถ้าหากย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว อย่าว่าแต่การเป็นเจ้าของเลยครับ แค่ได้ขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสักคันก็ดูเป็นเรื่องล้ำยุคและไม่ปกติแล้ว ในตอนนั้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกมันว่า EV (Electric Vehicle) ยังดูเป็นเพียงความฝันของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะหาทางรอดให้กับการเดินทางของคนทั้งโลกและบริษัทของพวกเขาเองในวันที่น้ำมันดิบเกลี้ยงโลก ซึ่งออกจะดูเลือนลางซะด้วยซ้ำด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งความจุของแบตเตอรี่ที่ทำให้วิ่งได้ระยะทางน้อย ขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่โตและมีน้ำหนักมาก ไปจนถึงการชาร์จที่อาจต้องรอกันข้ามวัน ไม่ต่างจากตอนที่คุณชาร์จแบตเตอรี่รถบังคับวิทยุของเล่นตอน 8 ขวบ
แต่เชื่อไหมครับว่า 10 ปีที่แล้วเหมือนกันนี่แหละ ที่ BMW เปิดตัว BMW i3 และวางจำหน่ายให้ลูกค้าซื้อมาใช้ได้เหมือนกับรถเครื่องสันดาปภายในทั่วไป ซึ่งนั่นเหมือนกับการรื้อความเชื่อทั้งปวงเกี่ยวกับรถ EV ที่ในตอนนั้นมีบทบาทเป็นได้แค่รถสำรองไว้ขับไปจ่ายตลาดในรัศมีไม่ไกลบ้าน ราวกับพวกมันคือรถกอล์ฟในร่างรถยนต์ที่ออกมาวิ่งนอกสนามหญ้าสีเขียวและไม่ได้มีจุดประสงค์หลักในการวิ่งตามลูกกลมๆ สีขาวเท่านั้น วันนี้ในปี 2021 เราจึงขอฉลองครบรอบ 10 ปี BMW และทศวรรษข้างหน้าที่คงเป็นยุคบานสะพรั่งของรถ EV ด้วยการพาคุณผู้อ่าน Bimmer-th กลับไปดูจุดเริ่มต้นของ BMW i กัน
BMW i3 Concept and BMW i8 Concept (07/2011)
แน่นอนว่าโครงการ BMW i ไม่ได้เริ่มต้นในปี 2011 BMW Group ตั้งโปรเจคท์ลับที่ใช้ชื่อว่า “Project i” ในปี 2008 โดยมีภารกิจเดียวคือ “Forget what went before. Rethink everything” หรือ “ลืมสิ่งที่เคยทำมาซะ แล้วสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด” เพื่อที่จะสร้างรถ EV ที่ออกแบบมาเป็น EV ตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับค่านิยมในสมัยนั้นที่มักจะนำเอาโครงสร้างและตัวถังของรถยนต์เครื่องสันดาปภายในมาใส่อุปกรณ์ของรถ EV ลงไป ซึ่งมีข้อจำกัดนานัปประการ เช่น การที่พวกมันไม่ได้ถูกออกแบบว่าจะต้องแบกแบตเตอรี่จำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา ก็ทำให้โครงสร้างรถเปล่ามีน้ำหนักมากเกินไปสำหรับรถ EV หรือเทคนิคอากาศพลศาสตร์ทั้งหลายก็ถูกทำมาไว้เพื่อดักอากาศไปป้อนเครื่องยนต์ ซึ่งเพิ่มแรงต้านอากาศและไม่จำเป็นสำหรับรถ EV แต่กลับตัวร้ายที่ทุบตัวเลขระยะทางที่วิ่งได้ ก็เหมือนกับการที่คุณพยายามใช้ Tablet แทน Laptop ซึ่งให้ตายก็ทำได้แค่ใกล้เคียงเท่านั้น
ฟังดูไอเดียก็เข้าท่าดีใช่ไหมครับที่ BMW จะสร้างรถ EV ใหม่ขึ้นมาซึ่งถูกออกแบบให้เป็นรถ EV มาตั้งแต่ต้น แต่พอเอาเข้าจริงสิ่งที่ BMW Group คิดนั้นไปไกลกว่าการสร้างรถขึ้นมาหนึ่งคันมาก พวกเขารื้อกระบวนการผลิตทั้งระบบให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ลดการใช้น้ำบริสุทธิ์ลดลง 70% ในส่วนพลังงานที่ใช้ก็มาจากแหล่งพลังงานสะอาด 100% ตัวรถเองนั้นมีโครงสร้างตัวถังที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุน้ำหนักเบาพิเศษที่คิดค้นขึ้นใหม่ ซึ่ง BMW เรียกว่า Carbon-Fiber Reinforced Plastics หรือ CFRP ที่ปัจจุบันถูกถ่ายทอดมาอยู่ทั้งใน BMW ซีรีส์ 7 และ BMW M ทั้งหลาย ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่สร้างขึ้นใหม่ รวมถึงการให้บริการด้านดิจิทัลเพื่อทำให้ลูกค้า BMW i ชาร์จรถยนต์ของพวกเขาได้อย่างสะดวกขึ้นด้วย
BMW i3s, Portugal, Lissabon
ในปี 2009 แค่หนึ่งปีให้หลังจากโครงการลับ Project i กำเนิดขึ้น BMW Group ก็เผยโฉม “BMW Vision Efficient Dynamics” เพื่อโชว์ศักยภาพและแนวทางของ BMW i ในอนาคต พร้อมกับเพนท์ตึกสำนักงานใหญ่รูปลูกสูบด้วยไฟให้กลายเป็นแบตเตอรี่เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนารถ EV ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากนั้นในงาน Frankfurt International Motorshow ปี 2011 ก็เปิดตัว “Megacity Vehicle” หรือรถสำหรับเทรนด์เมืองยุคใหม่ ซึ่งเป็นรถต้นแบบของ BMW i3 ที่เปิดตัวและวางจำหน่ายจริงในปี 2013 ที่สร้างกระแสการพูดถึงไปทั่วโลก BMW i3 รุ่นแรกสามารถวิ่งได้ระยะทาง 130-160 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงทั้งขนาดความจุแบตเตอรี่และซอฟต์แวร์ และเรียกว่า BMW i3 (94Ah) ซึ่งมีความจุแบตเตอรี่มากกว่ารุ่นแรกเกือบสองเท่า ทำให้ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 245 กิโลเมตร (อ่านต่อ Electric Appeal)
ในปี 2014 BMW i8 ก็ตามมา รถสปอร์ตสมรรถนะสูงระดับ 369 แรงม้า ที่ปล่อยมลพิษในระดับเดียวกับ Eco Car ซึ่งถูกสร้างบนพื้นฐานของ BMW Vision EfficientDynamics และสามารถขับในโหมดไฟฟ้าล้วนได้จนถึงความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนที่ BMW i8 Roadster จะตามมาในปี 2018 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมชั้นยอดอีกครั้งหนึ่ง เพราะคุณคงจำได้ว่า BMW i8 Coupé นั้นใช้ประตูแบบปีกนก ทำให้ BMW i8 Roadster ต้องมีการออกแบบบานพับและตำแหน่งยึดประตูกันใหม่หมด ส่วนหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้นั้นก็ต้องใช้บานพับพิเศษที่ผลิตได้จากเทคนิค 3D printing เท่านั้น และอากาศพลศาสตร์ที่เปลี่ยนไปเมื่อเปิดประทุน ก็ทำให้ต้องมีการออกแบบด้านหน้ารถกันใหม่หลายจุดเพื่อให้สมรรถนะยังคงยอดเยี่ยมไม่ต่างจาก BMW i8 Coupé
นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของรถ EV ที่เป็นสปีชีส์ (Species) ใหม่ของรถยนต์ BMW ในส่วนทศวรรษข้างหน้านั้นเป้าหมายของ BMW i คือการยกระดับสู่รถ EV เข้าสู่หลากหลายเซกเมนต์ที่จะทำตลาดเคียงคู่ไปกับรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน โดยมี BMW Vision iNext ที่เปิดตัวในปี 2018 (อ่านต่อ BMW Vision iNext) เป็นสัญลักษณ์ของการประกาศวิสัยทัศน์ในอนาคตและความมุ่งมั่นว่า BMW จะเดินหน้าอย่างเต็มสูบ (หรือควรจะเรียกว่าเต็มรอบมอเตอร์มากกว่า) ในการพัฒนาระบบนิเวศน์ของรถ EV ทั้งโครงข่ายระบบการชาร์จในพื้นที่สาธารณะ ระบบชาร์จความเร็วสูงบนเส้นทางไฮเวย์ แพคเกจให้บริการชาร์จรถอย่างครบวงจร รวมไปถึง Wallbox ที่ติดตั้งตามบ้านหรือแหล่งที่พักอาศัยที่จะเพิ่มจำนวนขึ้น ผลผลิตแรกที่ออกมาคือ BMW iX3 รถยนต์ Sport Activity Vehicle ในร่างของ BMW X3 ที่ออกจำหน่ายแล้วในตลาดโลกตั้งแต่ปี 2020 และที่จะตามมาในเร็ววันก็คือ BMW i4 รถยนต์นั่ง Gran Coupé สี่ประตูที่จะเจาะตลาดในตำแหน่งเดียวกับ BMW ซีรีส์ 4 Gran Coupé
และสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายที่สุดคือ BMW iX รถยนต์ Sport Activity Vehicle ที่สืบสาน DNA มาจาก BMW Vision iNext อย่างแท้จริง ด้วยรูปทรงที่ล้ำสมัยแบบสุดๆ กับการตกแต่งภายในด้วยวัสดุที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมฟีเจอร์ทันสมัยมากมาย BMW iX มีพละกำลังสูงสุดถึง 500 แรงม้า และใช้แบตเตอรี่ความจุ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง จึงทำให้มันมีสมรรถนะราวกับรถสปอร์ต สามารถโดยสารไปได้ทั้งครอบครัวพร้อมกับสัมภาระ และมีระยะทางวิ่ง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เทียบเท่ากับน้ำมันหนึ่งถังของรถเครื่องสันดาปภายใน
ถึงแม้เราจะชื่นชอบเสียงเครื่องยนต์เพียงใด แต่รถ EV รุ่นใหม่ที่สมรรถนะสูงกับอัตราเร่งทันใจก็ทำให้ใจเริ่มเขวได้เหมือนกัน บางทีอาจจะต้องเริ่มซึมซาบความงามของเสียงมอเตอร์ที่โหยหวนบ้างแล้ว เพราะพวกมันคืออนาคตที่ใกล้เข้ามาทุกที… และเชื่อว่าอีก 10 ปีต่อไปจะยิ่งต้องสดใสกว่านี้แน่นอน
Bimmer-th

