บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แจ้งข่าวความคืบหน้าของสายการผลิตระบบขับเคลื่อน E-Drive ที่โรงงาน Dingolfing เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ว่าพวกเขาได้เริ่มการผลิตแบตเตอรี่และโมดูลของแบตเตอรี่เจนเนอเรชันที่ 5 สำหรับ BMW iX และ BMW i4 แล้ว หลังจากใช้โรงงานแห่งนี้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเจนเนอเรชันที่ 5 สำหรับ BMW iX3 มาตั้งแต่ช่วงปี 2020 โดยพื้นที่ส่วนนี้ของโรงงาน Dingolfing มีชื่อว่า “Competence Center for E-Drive Production” นอกจากนี้ ยังมีแผนเดินหน้าขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าที่โรงงาน Dingolfing, Leipzig, Regensburg, Steyr อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2022 เพื่อรองรับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะสูงถึงปีละ 500,000 คัน พร้อมคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนประมาณครึ่งนึงของยอดขายในปี 2030
Fifth Generation eDrive Technology ลดขนาด เพิ่มประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เทคโนโลยี eDrive เจนเนอเรชันที่ 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู ประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเจนเนอเรชันที่ 5 กับแบตเตอรี่และโมดูลเจนเนอเรชันที่ 5 โดยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะถูกแพ็ครวมอยู่กับเกียร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเบ็ดเสร็จในตัวมันเอง ทำให้มีขนาดกระทัดรัดยิ่งขึ้น โรเตอร์ของมอเตอร์เป็นแบบ Current-excited ที่ไม่ต้องใช้ส่วนผสมของแร่หายาก (Rare earth) ทำให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง โดยรถหนึ่งคันจะใช้ชุดมอเตอร์ไฟฟ้า e-drive ได้มากที่สุดถึงสองชุด
ในส่วนของชุดแบตเตอรี่โวลต์สูงกับแบตเตอรี่เซลล์เทคโนโลยีระดับ State-of-art นั้น BMW พัฒนาขึ้นมาเองจากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับแบตเตอรี่และกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบห่วงโซ่อุปทานมาอย่างยาวนาน แบตเตอรี่เจนเนอเรชันที่ 5 จึงมีจุดเด่นทั้งด้านการชาร์จ การคายประจุ ความคงทน ความปลอดภัย และสมรรถนะ แถมยังมีความยืดหยุ่นสูงด้วยการออกแบบเซลล์แบตเตอรี่ให้เป็นทรงปริซึมที่สามารถนำมาเรียงต่อกันแบบ Modular เพื่อปรับขนาดให้เหมาะกับรถยนต์แต่ละรุ่นได้ มันยังถูกออกแบบให้สามารถผลิตบนสายการผลิตเดียวกันได้แม้ว่าจะมีสเปกที่แตกต่างกัน เพื่อรองรับจำนวนรถและรุ่นของรถ EV ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการแยกไปผลิตบนสายการผลิตหลายๆ สาย ชุดแบตเตอรี่จะถูกผลิตโดยซัพพลายเออร์ที่บีเอ็มดับเบิลยูกำหนดด้วยว่าจะต้องใช้พลังงานทดแทนในการผลิตเท่านั้น
Competence Center for E-Drive Production
อันที่จริงโรงงาน Dingolfing แห่งนี้ถูกใช้ผลิตแบตเตอรี่โวลท์สูงกับโมดูลแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ BMW อย่าง i3 มาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว จากนั้นก็เพิ่มไลน์ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่สำหรับรถ Plug-in Hybrid ในปี 2014 และขยายกำลังการผลิตมาอย่างต่อเนื่องเพื่อผลิตชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ให้ Mini Cooper SE และ BMW iX3 และในอนาคตอันใกล้ก็จะผลิตระบบขับเคลื่อน e-Drive ให้ BMW iX กับ BMW i4 ด้วย
ในอนาคตชุดแบตเตอรี่โวลท์สูงและส่วนประกอบต่างๆ สำหรับ BMW และ Mini ไฟฟ้าทุกรุ่นจะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ BMW เอง ทั้งในเยอรมนีที่โรงงาน Dingolfing, Leipzig, Regensburg, สหรัฐอเมริกาที่โรงงาน Spartanburg และจีนที่โรงงาน Shenyang (จีน) นอกจากนี้ยังจะใช้โรงงานระยองที่ประเทศไทยเพื่อผลิตแบตเตอรี่โวลท์สูง โดยใช้ชิ้นส่วนจากในประเทศอีกด้วย ในขณะที่ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกผลิตที่ Competence Center for E-Drive Production ที่โรงงาน Dingolfing และ Landshut และเสื้อของชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนจะถูกผลิตที่โรงงาน Steyr
ตั้งเป้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายภายในปี 2030
ภายในปลายปีนี้ไลน์อัพของรถยนต์ไฟฟ้า BMW ก็จะกลายเป็น 5 รุ่น คือ BMW i3, MINI Cooper SE, BMW iX3 และน้องใหม่ BMW iX และ BMW i4 (BMW i8 ยุติการผลิตไปแล้ว) ด้วยกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้น และแรงกดดันจากสังคมให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานและผลิตภัณฑ์ของตน บีเอ็มดับเบิลยูจึงตั้งเป้าหมายในระหว่างปี 2021-2025 ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BMW จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละมากกว่า 50% หรือมากกว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2020 ถึง 10 เท่า ภายในปี 2025 และคาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนเป็นครึ่งนึงของยอดขายทั่วโลกในปี 2030 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมที่ออกจากโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูไปก็จะมีมากถึง 10 ล้านคัน
…แต่สำหรับคนบ้ารถแล้ว การมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าในเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้านี้เป็นอะไรที่น่าใจหายอยู่ดี ผมคงจะจบลงตรงนี้กับคำพูดว่าจงสนุกกับเสียงแผดของเครื่องยนต์สันดาปภายในและกลิ่นเบนซินไว้ในตอนที่เรายังทำได้เถอะ
Enjoy it while you still can!
