รีวิว BMW 320d Sport (G20)- หนุ่มหล่อขี้เล่น ที่คล่องตัวไม่เบา

ในทุกครั้งที่ผมทำรีวิว ส่วนที่ยากที่สุดสำหรับผมมักเป็นส่วนของการขึ้นต้นบทความ สำหรับผมแล้วมันคือส่วนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของการเล่าเรื่องราวเรื่องหนึ่ง หากจะเปรียบกับกิจวัตรประจำวันของเราก็คือการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆเป็นครั้งแรก ที่มักจะยากเสมอแต่พอได้เริ่มทำแล้วทุกอย่างก็จะไหลตามมาเอง

ในโลกของรถยนต์เอง ผมมีความเชื่อเสมอว่าในปัจจุบันการจะให้วิศวกรพัฒนารถยนต์ซักคันให้ทันหรือเสมอคู่แข่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเหมือนในอดีต (ถ้างบเพียงพอ) แต่สิ่งที่ยาก ท้าทายกว่าสำหรับค่ายรถและวิศวกรเหล่านั้น คือการสร้างรถที่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้แก่วงการหรือเป็นผู้นำในกลุ่ม Segment นั้น จนคนอื่นต้องเดิมตามคือเรื่องที่ยากกว่า

แต่สำหรับตระกูล BMW 3 Series นั้น นับเป็นรถรุ่นสำคัญของชาวแคว้นบาวาเรียและวัยรุ่น (ทั้งตัวเลขอายุและเสียงหัวใจ) ทั่วโลกทุกยุคสมัย มันคือหนึ่งในรุ่นสร้างชื่อเสียงและยอดขายให้กับ BMW มาอย่างยาวนาน โดย 3 Series มียอดขายสะสมมากกว่า 15 ล้านคันทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งโฉมปัจจุบันก็ถือเป็น Generation ที่ 7 ที่มีชื่อเรียกว่า G20

(สำหรับใครที่สนใจอ่านประวัติเพิ่มเติมสามารถ คลิก! รวมรหัสตัวถัง 3 Seriesและ 4 Series )

BMW 3er Familie, von E21 bis F90; Eisbach Studios Pasing, Februar 2015;

G20 3 Series ใหม่นั้นถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของโครงสร้าง CLAR Platform ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ถูกใช้ครั้งแรกใน BMW 7 Series รุ่นปัจุบัน โดยโครงสร้างดังกล่าวมีลักษณะแบบ Modular ที่สามารถยืดหดได้ตามความเหมาะสมของรถรุ่นนั้นๆ BMW นำโครงสร้างนี้มาใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหลัง (หรือ xDrive บางรุ่น) รุ่นใหม่ๆ ที่มีรหัสที่ขึ้นต้นด้วย G ต่างๆ

จุดเด่นของโครงสร้างใหม่ใน G20 3 Series คือมีการพัฒนาความแข็งแรงของโครงสร้างรถให้ลดการบิดตัวและแข็งแรงมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน (บางจุด) สูงถึง 50% และมีการยืดขนาดของฐานล้อ ตัวถังรถ ให้ยาวและกว้างขึ้นกว่ารุ่นที่แล้วอย่าง F30 อาทิ

  • + ฐานล้อยาวขึ้น 41 มิลลิเมตร
  • + ฐานล้อหน้ากว้างขึ้น 43 มิลลิเมตร
  • + ฐานล้อหลังกว้างขึ้น 21 มิลลิเมตร
  • + ตัวถังยาวเพิ่มขึ้น 76 มิลลิเมตร
  • + ตัวถังกว้างขึ้น 16 มิลลิเมตร
  • + ตัวถังสูงขึ้น 1 มิลลิเมตร

เรียกได้ว่ากว้างขึ้น ยาวขึ้น โตขึ้นในทุกมิติของตัวรถ หากจะให้เห็นภาพมากขึ้นว่า G20 3 Series ใหม่นั้นมีขนาดตัวที่โตขึ้นแค่ไหน ผมจึงลองเอา Spec ของ G20 3 Series มาวางเทียบกันกับ E39 5 Series สุดหล่อในดวงใจของคุณพ่อลูกอ่อนประจำเว็บ Bimmer-th ของเราจึงเห็นภาพได้ชัดมากขึ้น ดังรูปนี้

จากรูปจะเห็นได้ว่า 3 Series ใหม่มีขนาดที่ใหญ่กว่า E39 5 Series หรือบางจุดใกล้เคียงกัน แต่ถึงขนาดตัวจะโตขึ้นจากในอดีต ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอื้อให้เหล่าวิศวกรสามารถทำให้ตัวรถทั้งคันเบากว่า E39 5 Series ที่ถูกพัฒนาเมื่อราว 19 ปีที่แล้วและเบาลงกว่า F30 3 Series รุ่นก่อนได้ถึง 55 กิโลกรัม แถมยังมีตัวเลขแรงเสียดทานอากาศที่ลดลงเหลือเพียง 0.23 Cd (ในรุ่น 320d Luxury)

สำหรับ 3 Series รุ่นที่เรานำมารีวิวกันในวันนี้คือรุ่น 320d Sport ( CBU นำเข้าทั้งคันจากเยอรมัน) ซึ่งมีภายนอกที่ทันสมัยมากขึ้นด้วยภาษาการดีไซน์แบบใหม่ที่ BMW ปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่มากขึ้น

ดีไซน์ด้านหน้าของหน้ารถ โดดเด่นด้วยด้วยฝากระโปรงหน้าที่มีเส้นสอดรับกับกระจังหน้าไตคู่ที่สามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ (Active air stream kidney grille) ที่มีขนาดกว้างขึ้นและโตขึ้นกว่าเดิม โดยชุดของกระจังหน้าไตคู่นี้ทีมดีไซน์ตั้งใจออกแบบให้รับไปกับชุดไฟหน้า LED ที่มีการบากไว้เล็กๆ ด้านล่างส่งผลให้ดีไซน์ด้านหน้าของรถนั้นดู Sport ปราดเปรียวขึ้นกว่าเดิม

นอกเหนือจากนี้ ชุดกันชนหน้าของ 320d Sport line คันนี้ยังมีจุดไฮไลท์ที่โดดเด่นอีกจุดคือช่องดักอากาศรูปตัว T ที่ถูกนำมาใช้ในรถ 3 Series เป็นครั้งแรก โดยทีมดีไซน์ BMW นั้นได้นำเอาดีไซน์ดั้งเดิมของช่องดักอากาศในเครื่องยนต์เจ็ต เครื่องบินมาใช้โดยดีไซน์ดังกล่าวเป็นดีไซน์คลาสิคของ National Advisory Committee for Aeronautics (NACA)

ด้านข้างของรถนั้นมีการปรับเส้นสายใหม่ให้ดูสดใหม่และเพรียวมากขึ้นด้วยเส้นสายด้านข้างที่ดูมีมิติเว้านูน เฉียงขึ้น อีกทั้งยังปรับดีไซน์ Hofmeister Kink ที่เสา C โดยกรอบกระจกปลายประตูหลังถูกดีไซน์แบบไร้กรอบ ซึ่งสอดรับกับเสา C ได้อย่างลงตัว ในรุ่น 320d Sport จะตกแต่งด้วยกรอบกระจกสีดำรอบคันเพิ่มความ Sport อย่างมีระดับ

ส่วนของล้อนั้น เป็นล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วลาย V-Spoke รหัส 780 ที่หุ้มมาด้วยยาง Pirelli Cinturato P7 เทคโนโลยี Runflat ขนาดยาง 225/45 ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง

ดีไซน์ด้านท้ายของรถ โดดเด่นด้วยชุดไฟท้าย LED ดีไซน์ทรงใหม่ Slim L Shape ที่เล่นสีตัดกับวัสดุสีดำข้างในไฟให้ดู 3 มิติมากขึ้น พร้อมกับกันชนท้ายที่เด่นด้วยดีไซน์ช่องระบายอากาศหลังตัว T เหมือนกับกันชนหน้าไม่มีผิด

เปิดประตูเข้ามาชมภายในกันบ้าง

บรรยกาศภายในของ BMW 3 Series ใหม่นั้น BMW ได้ยกเครื่องดีไซน์ภายในใหม่​โดยมีการปรับหน้าตาและย้ายตำแหน่งปุ่มควบคุมใหม่บางจุด คล้ายกันกับเพื่อนอนุกรมอื่น อาทิ X5,X7,Z4​ และ ​BMW​ รุ่นใหม่หลังจากนี้​ ซึ่งดูแล้วหรูหราทันสมัย​มากขึ้นแต่ยังคงคอนเซ็ปต์​การออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ขับขี่เช่นเคย ในรุ่น 320d Sport จะได้ภายในที่เสริมการตกแต่งด้วยอลูมิเนียมลาย Mesheffect

ภาพดีไซน์ภายในของ 3 Series รุ่นก่อนจนถึงปัจจุบัน

การเข้าออกตัวรถทำได้อย่างง่ายดายด้วยระบบ Comfort Access ตำแหน่งนั่งคู่หน้าใช้แรงขึ้นลงรถน้อยกว่า F30 รุ่นที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากตำแหน่งเบาะนั่งที่รู้สึกเหมือนตำแหน่งจะสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดๆ ตัวเบาะของ 320d Sport คันนี้จะได้เบาะแบบ Sport สามารถปรับยืดหดเบาะรองน่องได้รวมถึงสามารถปรับปีกเบาะด้านข้างให้โอบเพิ่มได้เช่นเดียวกัน ตัวเบาะหุ้มด้วยหนัง Vernasca มาพร้อมระบบ Memory เบาะ 2 ตำแหน่ง

ส่วนของพื้นที่ด้านหลัง จากเดิมที่ผมจะรู้สึกสงสารเวลาที่เห็นท่านผู้บริหารนั่งเบาะหลัง 3 Series รุ่นก่อนแล้วมีคนขับรถให้ พอเป็นโฉมปัจจุบัน พื้นที่ของเบาะหลังนั้นน่าอยู่มากขึ้น ด้วยขนาดของพื้นที่วางขาที่กว้างขึ้นกว่าเดิมและตำแหน่งเบาะหลังที่สูงเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกนิด แม้ว่าตัวฟองน้ำยังคงมีความแข็งตามแบบฉบับรถยุโรปแต่โดยรวมแล้วเบาะหลังของ 3 Series ใหม่นั่งสบายมากขึ้น จนใกล้เคียง G30 5 Series ปัจจุบันจริงๆ

พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถนั้นมีขนาดควาจุ 480 ลิตร เท่ากันกับ 3 Series รุ่นก่อนที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปปกติ แต่หากความจุดังกล่าวยังวางของได้ไม่เพียงพอ ตัวของเบาะหลังสามารถพับลงมาได้แบบ 40:20:40

พวงมาลัยหุ้มหนังทรง Sport สามารถปรับสูงต่ำเข้าออกได้ด้วยมือ ยังไม่ไฟฟ้าเหมือนรุ่นพี่ บนพวงมาลัยนั้นเป็นที่อยู่ของปุ่ม Cruise Control&LIM และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงตามหลักสากลนิยม โดยตัวปุ่มทั้งสองมีขนาดใหญ่และมี Front ตัวหนังสือที่โตขึ้นเหมือนดีไซน์เนอร์เข้าใจยุค Aged Society เป็นอย่างดี

เรือนไมล์แบบกึ่ง Digital กึ่ง Analog เรียกง่ายๆ คือเป็นเรือนไมล์ที่มีเข็มหน้าปัดเหมือนเก่าแต่ถูกดีไซน์ใหม่และเสริมด้วยจอ Digital ตรงกลางไมล์ ซึ่งดูแล้วอาจไม่ตื่นตาเหมือนไมล์ในรุ่นท็อปอย่าง 330i M Sport แต่อ่านค่าต่างๆ ง่ายกว่า ตัวเรือนไมล์สามารถเปลี่ยนสีขาว,สีส้มได้ตาม Mode การขับขี่

หน้าจอกลางจากเดิมที่ BMW ใช้เรียกจอของพวกเขาว่า iDrive Screen มาคราวนี้พวกเขาอัพเกรดซอฟแวร์ใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Live Cockpit ซึ่งในรุ่น 320d Sport คันนี้จะเป็นจอเกรด Plus หมายความว่าจะมีขนาดจอกลาง 8.8 นิ้ว พร้อมด้วยระบบนำทางและเข็มหน้าปัดกึ่ง Digital แต่หากเป็นรุ่นท็อปในบ้านเราอย่าง 330i M Sport จะได้ Live Cockpit Professional ซึ่งมีขนาดหน้าจอกลางใหญ่กว่าและรองรับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ส่วนหน้าปัดเรือนใหม่จะเป็นลักษณะ Full Digital

ในหน้าจอ Live Cockpit Plus นั้นสามารถชมรายงานสภาพอากาศและข่าวสารใหญ่ๆ ที่ออนไลน์ทั่วโลกได้ตลอด

ใต้หน้าจอลงมาอีกหน่อยจะเป็นที่อยู่ขอสวิตช์ปรับอากาศแบบ 3 Zone ที่สามารถแยกอิสระซ้าย-ขวาและหลังได้ โดยปุ่มควบคุมแอร์ต่างๆ ถูกย้ายมาอยู่ด้านบนแทนจากเดิมที่รุ่นก่อนจะอยู่ใต้วิทยุ ระบบเครื่องเสียงแบบธรรมดาให้คุณภาพเสียงที่จัดอยู่ในเกณท์ใช้ได้ และหากใครที่สังเกตดีๆ จะพบว่าช่องใส่ CD นั้นหายไปตามยุคสมัย

คันเกียร์นั้นถูกดีไซน์ใหม่ ตำแหน่งของปุ่ม P ถูกย้ายจากปลายด้ามมาอยู่กลางด้ามแทนทำให้ต้องปรับความคุ้นเคยกันซักนิด รวมไปถึงปุ่ม Start Engine ก็ถูกย้ายตำแหน่งจากข้างคอพวงมาลัยมาอยู่ข้างคันเกียร์ด้วยเช่นกัน สวิตช์ควบคุมอื่นๆ รอบคันเกียร์นั้น ถูกออกแบบมาให้แบนราบทำให้ดูทันสมัยมากขึ้นแต่ก็ต้องใช้วิธีจำตำแหน่งใหม่ด้วยเช่นกัน

เบรกมือไฟฟ้า มาแทนที่เบรกมือสายรุ่นเก่าพร้อมระบบ Auto Brake Hold เพิ่มความสบายยามคลานรถติดในเมือง

ส่วนท่านใดที่ชื่นชอบชีวิตกลางคืน BMW 3 Series ใหม่ก็มีระบบไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารหรือ Ambient Light ที่ขนาดของไฟที่มากขึ้นกว่ารุ่นเก่าและสามารถเลือกปรับโทนสีได้ตามใจชอบ

Engine and Drivetrain

ขุมพลังของ BMW 320d Sport ที่เรานำมาทดสอบกันนั้นคือ เครื่องยนต์ดีเซลรุ่น 20d (รหัสเครื่องยนต์ B47D20) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ความจุจริง 1,995 ซี.ซี. ให้กำลังแรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 เฉลี่ย 122 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic ZF 8 Speed ส่งกำลังลงไปสู่ล้อคู่หลัง

หาปุ่ม Start แล้วออกไปขับกัน

ผมเปิดประตูขึ้นรถทดสอบคันสีขาวด้วยความตื่นเต้น ค่อยๆ เอาร่างกายย่อนก้นลงนั่งได้ไม่นานนักสัญชาตญาณก็เริ่มทำงานโดยควานหาปุ่ม Start รถที่ข้างคอพวงลัยตามตำแหน่งที่อยู่เดิมใน BMW รุ่นก่อนหน้านี้ ก่อนจะต้องยิ้มแห้งออกมาเมื่อพบว่าปุ่ม Start นั้นได้ถูกย้ายไปอยู่ข้างคันเกียร์เรียบร้อยแล้ว

เสียงของเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร รหัส 20d ที่เราคุ้นเคยก็เริ่มดังขึ้นมา หากเปรียบรหัส 20d เป็นเพื่อนคนหนึ่งแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าเพื่อนคนนี้คือเพื่อนประถมที่เรารู้จักคุ้นเคยกันมานาน เขาคือเพื่อนที่แสนดีกินน้อยตัวผอมและพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่จุกจิก แม้ว่าเขาจะมีตัวเลขผลคะแนนสอบ (แรงม้า แรงบิด) ไม่ต่างจากก่อน แต่เมื่อเราพาเขาออกถนนเขากลับตอบสนองได้รวดเร็วและคล่องแคลวขึ้นกว่าเดิม

BMW เคลมตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในรุ่น 320d ไว้ที่ 6.8 วินาที ซึ่งดีกว่ารุ่นที่แล้วถึง 0.4 วินาที ส่วนหนึ่งมาจากน้ำหนักของรถที่เบาลง และมีการปรับจูนพละกำลังใหม่ ทำให้การตอบสนองต่างๆ แม่นยำขึ้นและไวขึ้นเช่นเดียวกับการทำงานของเกียร์ที่สามารถอ่านใจคนขับได้เก่งเหมือนเดิม รวมไปถึงอากาศพลศาตรที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมสามารถพา 320d คันนี้ทยานขี้นไปถึงตัวเลข 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แบบไม่มีช่วงรอลุ้นใดๆ อันที่จริงแล้วในช่วงต้นแรงดึงต่างๆ แทบไม่ต่างจากตัวก่อน แต่สิ่งที่ต่างคือผมกลับรู้สึกว่า เจ้า G20 ใหม่คล่องแคลวขึ้นมากทั้งๆ ที่ตัวรถทั้งคันใหญ่ขึ้น

Driver: Thanapol Ratanaboon

พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Servotronic ธรรมดาที่มีหน้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วของรถ แต่ยังไม่สามารถแปรผันความไวได้เหมือนในรุ่น 330i M Sport แต่ถึงกระนั้นก็เป็นพวงมาลัย ที่มีอัตราทดที่ไวและแม่นยำขึ้นกว่า F30 3 Series รุ่นก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การขับขี่ลัดเลาะในเมืองรวมถึงบนทางด่วนสนุกขึ้น โดยน้ำหนักหน่วงกลางของพวงมาลัยมีน้ำหนักหน่วงกลางที่เป็นธรรมชาติขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด สามารถรองรับทั้งบทบู้และบทเดินทางไกลได้ลงตัว แต่หากท่านใดที่ชอบพวงมาลัยหนักๆ ก็สามารถกด Mode Sport เพื่อเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยขึ้นอีกได้เช่นกัน

ในส่วนของช่วงล่างนั้น ได้อานิสงค์จากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่แข็งแรงทนต่อการบิดตัวขึ้น เมื่อถูกนำมาจับคู่กับช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยขยายฐานล้อให้กว้างและเปลี่ยนมุมองศาต่างๆ พร้อมเทคโนโลยีโช้คอัพแบบใหม่ที่เรียกว่า Lift-related damper หรือเรียกง่ายๆ ว่า โช้คอัพ 2 ชั้น ซึ่งมีลักษณะคือมีชุดซีลวาล์ว 2 ชุดอยู่ด้านบนและล่างในแกนโช้คอัพเดียวกัน ตามหลักแล้วเมื่อขับในความเร็วปกติที่ต้องผ่านหลุมช่วงถนนไม่ดี แกนโช้คจะยุบผ่านชุดซีลวาล์วด้านล่าง แต่เมื่อใดที่คนขับเริ่มขับแบบรุนแรงมากขึ้น มีการยุบตัวของรถที่หนักขึ้นอาทิการเข้าโค้งแรงๆ ตัวชุดซึลวาล์วด้านบนที่ถูกออกแบบมาให้มีรูน้ำมันเล็กกว่าชุดล่างจะเริ่มเข้ามาช่วยคุมการยุบตัวของรถให้แข็งขึ้น คืนตัวยากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่คนขับ

หากจะสรุปโดยง่าย อาการของช่วงล่าง G20 320d ใหม่นั้น ในช่วงคลานในเมืองหรือต้องผ่านรอยต่อบนทางด่วนช่วงล่างจะถูกเซ็ตมาให้พยายามนุ่มที่สุด แต่เมื่อขับเร็วขึ้นหรือรับบทบู้จนต้องใช้ประสิทธิภาพของโช้คเต็มข้อมากขึ้น ตัวโช้คอัพจะเริ่มแข็งขึ้น ส่งผลให้อาการของตัวรถนั้นเรียกได้ว่าไม่ได้แข็งจนเกินไปแบบช่วงล่าง M Sport ใน 330i และไม่ได้นุ่มนวลชวนฝันถึงขนาด 5 Series 530e Elite เป็นรถที่อยู่ตรงกลางระหว่างความต้องการสนุกของวัยรุ่นและความสบายของผู้ใหญ่

หากจะเทียบความแข็งอ่อนของช่วงล่างผมคงจัดวางตำแหน่งได้ดังนี้

นิ่ม F30 320d (ช่วงล่าง Standard) -> F30 330e (ช่วงล่าง Standard) -> G20 320d (ช่วงล่าง Standard) -> F30 320d (ช่วงล่าง M Sport) ->F30 330e (ช่วงล่าง M Sport) แข็ง

จะเห็นได้ว่า G20 320d ช่วงล่าง Standard นั้นจริงๆ มีความใกล้เคียงกับ F30 320d ที่เป็นช่วงล่าง M Sport และมีส่วนผสมของช่วงล่าง Standard ใน F30 330e ผมจึงให้อยู่ในจุดตรงกลางระหว่างสองคันนี้ แต่ถึงกระนั้นชุดช่วงของ G20 320d นั้นก็แข็งขึ้นกว่า 320d รุ่นก่อนที่เป็นช่วงล่าง Standard อย่างชัดเจน

การเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น สามารถเก็บเสียงของเครื่องยนต์ดีเซลได้อย่างเนียนสนิท ส่วนของเสียงพื้นถนนและลมนั้นยังตามหลังรุ่นพี่อย่าง 5 Series อยู่พอสมควร

บทส่งท้าย

BMW 320d Sport ไม่ได้เป็นเพียงรถที่สร้างมาเพื่อให้ดีแค่ทัดเทียมคนอื่น แต่มันเป็นรถที่เหล่าวิศวกรตั้งใจที่จะพัฒนาให้เจ๋งจนเป็นผู้นำในตลาด Segment นี้

สำหรับผมการเฝ้าดูพัฒนาการของ 3 Series โฉมต่างๆ ตั้งแต่วางไข่จนคลอดมันเหมือนเรากำลังอยู่ในงานเคาท์ดาวเริ่มต้นศักราชใหม่ ที่มีคนมากำลังถือโพยมาเฉลยเรื่องราวในอนาคตต่อไปจากนี้ของวงการยานยนต์ เพราะ 3 Series ไม่ได้เป็นเพียงรถรุ่นใหม่ที่สร้างเพื่อทำกำไรให้บริษัทเท่านั้น แต่มันคือรถที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้วงการยานยนต์ด้วยเสมอ

แต่สิ่งให้ติก็มีเช่นเดียวกัน เช่นในเรื่องของออพชั่นหยุมหยิมบางอย่าง อาทิไฟตัดหมอก LED หน้า กล้องมองหลัง เป็นต้นซึ่ง ณ เวลาที่ผมเขียนรีวิวฉบับนี้ (18 สิงหาคม 2019) BMW Thailand ได้จัดจำหน่าย G20 3 Series รุ่นใหม่อยู่ 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่

  • BMW 320d Sport ราคา: 2,959,000 บาท
  • BMW 330i M Sport ราคา: 3,359,000 บาท

* ราคาข้างต้นรวมแพคเกจ BSI Standard ข้อมูล ณ วันที่ 18/08/2019

ซึ่งในรุ่น 320d Sport นั้นมีสีภายนอกให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่

  • สีดำ Black Sapphire / ภายในน้ำตาลส้ม Cognac decor stitching – Black
  • สีแดง Melbourne Red / ภายในดำ Black decor stitching – Black
  • สีเงิน Glacier Silver / ภายในน้ำตาลส้ม Cognac decor stitching – Black
  • สีขาว Mineral White / ภายในน้ำตาลเข้ม Mocha decor stitching – Black (ที่เรานำมาทดสอบ)
  • สีเทา Mineral Grey / ภายในน้ำตาลส้ม Cognac decor stitching – Black

TEAM’s OPINION by Pan Paitoonpong

อันที่จริงถ้าเพียงมีกล้องหลังมาให้สักหน่อย อุปกรณ์มาตรฐานที่เหลือของ 320d คันนี้ก็จะอยู่ในระดับค่อนข้างดีตามมาตรฐาน BMW แต่หากเป็นเรื่องสมรรถนะการขับขี่ ถือว่าดีขึ้นกว่า F30 อย่างเห็นได้ชัด เครื่องยนต์เดิมแต่ทำอัตราเร่งได้เร็วขึ้น พวงมาลัยคมขึ้นเวลาเล่นโค้ง

ส่วนช่วงล่างนั้นแม้ว่าจะเสียความนุ่มนวลไปเมื่อเทียบกับ F30 แต่ก็สามารถควบคุมการยวบของตัวถังได้ดีกว่า แม้จะเป็นเพียง Base variant ของซีรีส์ 3 ในปัจจุบันแต่อย่าให้ภาพลักษณ์นั้นหลอกคุณ มันคือซีดานที่เร่ง 0-100 ได้ภายใน 7.5 วินาทีบนถนนไทยและไหลต่อไปได้ถึง 240 อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันมากจนแม้ว่าถังน้ำมันจะเล็กกว่าปกติก็ยังสามารถวิ่งได้ไกล แม้ว่ามันจะไม่มีบุคลิกสปอร์ตชัดเจนที่สามารถสร้างตัณหาในการเสียเงินได้แบบ 330i แต่ถ้าให้เลือกรถเพื่อขับเดินทางไกลจริงๆ ผมอาจจะเลือก 320d มากกว่า เพราะช่วงล่างนุ่มปราณีทวารมากกว่า ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า หน้าปัดแบบธรรมดาของมันก็อ่านค่าได้ง่ายและมีระบบควบคุมผ่านจอกลางเวอร์ชั่นเก่า ที่ผมคุ้นมือมากกว่า

ขอขอบคุณ

BMW Thailand
ที่เอื้อเฟื้อรถในการทดสอบ

บทความโดย
ธิติพัทธ์ หิรัญบวรทิพย์


สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาถ้อยคำรูปภาพในบทความโดยผู้เขียนและเว็บไซต์ BIMMER-TH.com
กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปใช้

The following two tabs change content below.

Thitipat Hiranbavorntip

Eat Sleep Drive // First Jobber ผู้ลุ่มหลงกับเสียงเครื่องยนต์และโค้งบนภูเขา

Comments

comments