รีวิว BMW 530e M Sport Saloon สุดเข้มที่ตอบโจทย์ทุก Lifestyle

BMW 5 Series คือหนึ่งในรถรุ่นหลักของค่ายที่มีฐานแฟนคลับหลากหลายวัยมากที่สุด อาทิกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบรถใหญ่ กลุ่มคนวัยกลางคนที่อาจจะเคยมีความหลังกับ 3 Series มาแล้วในวันที่เป็นวัยรุ่น หรืออาจจะเป็นคนวัยเกษียณที่ชื่นชอบการขับรถเองซึ่งก็คงไม่จำเป็นจะต้องมีรถที่เบาะหลังสบายดุจที่นั่ง First class เพื่อให้คนอื่นนั่ง

ดีไซน์ของ G30 5 Series ในวันที่เปิดตัวครั้งแรกจึงมีดีไซน์ที่ยังคงความสะอาด สปอร์ต ประนีประนอม โดยไม่ได้ฉีกแนวทางไปจากรุ่นเดิมมากนัก แต่เข็มของนาฬิกาที่เดินหมุนไปเผลอแปปเดียวก็ผ่านมาราว 4 ปีที่ 5 Series โฉมนี้เปิดตัวมา ก็ถึงเวลาที่ BMW จะได้ฤกษ์เอา 5 Series มาอัพเกรดเสื้อผ้าหน้าผมกันใหม่หรือที่พวกเขาเรียกว่า LCI (Minor change ตามประสารถทั่วไป)

ด้านหน้าของรถมีการปรับเปลี่ยนจุดหลักๆ ในส่วนของดีไซน์ไฟหน้า LED ที่บางและเพรียวลงกว่าเก่า ไฟ Daytime running light มีการออกแบบใหม่ให้เป็นรูปตัว L หนาพร้อมย้ายไฟเลี้ยวมารวมอยู่ในหลอดชุดเดียวกัน ชุดกันชนหน้าแบบ M Sport ปรับดีไซน์ให้สอดรับกับชุดไฟหน้าและกระจังหน้าใหม่ที่มีขนาดกว้างขึ้น สูงขึ้น เป็นขนาดที่กำลังพอดี แถมยังมีการเล่นดีไซน์และโทนสีใหม่จากเดิมที่เป็นสีดำก็มีการเปลี่ยนสีของของเกล็ดดีไซน์ด้านใน ให้เป็นสีเงินสลับคล้าย 3 มิติ สอดรับเป็นชิ้นเดียวกันกับกรอบด้านนอก ทำให้หน้าของ 5 Series LCI ดูโดดเด่นสะกดสายตามากขึ้นกว่าเดิม

เส้นสายด้านข้างยังคงความสะอาดแต่แฝงไว้ด้วยมัดกล้ามที่ถูกซ่อนไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตของผู้บริหาร สีภายนอกของ 5 Series คันนี้เป็นสีใหม่ที่ BMW Thailand เพิ่มเติมเข้ามาสำหรับโฉม LCI มีชื่อเรียกว่า Bernina Grey Amber Effect เป็นสีเทานมที่เป็นกระแสในช่วง 1-2 ปีมานี้ แต่สำหรับผู้ใหญ่ท่านใดที่มองว่าสีโทนนี้มันแปลกเกินไป BMW Thailand ก็ยังเพิ่มสีน้ำเงิน Phytonic Blue ที่ดูสวยโดดเด่นกว่า สีขาว ดำ เงิน ที่พบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน

ด้านท้ายของรถมีการปรับลุคให้ทันสมัยขึ้นด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มขนาดของเส้น LED ให้หนาขึ้นตามสมัยนิยม พร้อมกับการเล่นโทนสีและดีไซน์ของกรอบนอกให้ดู 3 มิติมากขึ้นกว่าก่อน ชุดกันชนท้าย M Sport ที่ดูผิวเผิน เหมือนจะไม่แตกต่างจากรุ่นก่อน LCI แต่มีก็ดีเทลเล็กๆ อย่างเช่นครีบ Diffuser ใต้กันชนที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามา

ชุดล้อ M Sport ขอบ 19 นิ้ว ลาย Y Spoke รหัส 845M แบบสลับสีถูกติดตั้งเฉพาะในรุ่น 530e M Sport เสริมความเป็นวัยรุ่นให้กับดีไซน์ของรถได้เป็นอย่างดี รัดด้วยยาง 245/40 R19 ในล้อหน้า และ 275/35 R19 ในล้อหลัง พร้อมด้วยชุดเบรก M Sport คาลิเปอร์สีน้ำเงินโดดเด่น ถัดจากด้านบนของช่อง AIR BREATHER นั้นคุณจะพบได้กับโลโก้ M Sport เล็กๆ ก่อนจะเจอเข้ากับช่องชาร์จไฟของรถที่มีหัวชาร์จแบบ Type 2

ทั้งหมดนี้ทำให้ดีไซน์ของ G30 5 Series LCI คันนี้ดูกว้าง แบน คม และทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม เป็นดีไซน์ที่ฉีกแนวมากขึ้นกว่าก่อน แต่ยังคงความสะอาดของรถทั้งคันเช่นเคย

ภายในของรถเมื่อเปิดประตูเข้ามาจะพบได้กับบรรยากาศที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของปุ่มควบคุมต่างๆ และปุ่มสตาร์ทรถที่ยังอยู่ในตำแหน่งหลังก้านไฟเลี้ยวเหมือนก่อน การตกแต่งของภายในจะแตกต่างจากรุ่นก่อน LCI ในเรื่องของขนาดหน้าจอที่ใช้ระบบปฏิบัติการ BMW OS 7.0 แบบ Live Cockpit Professional ที่มีขนาดจอใหญ่ขึ้นเป็น 12.3 นิ้ว เทียบกับรุ่นก่อนที่มีขนาด 10.25 นิ้ว

เรือนไมล์ดิจิตอลที่ใช้ระบบปฏิบัติการ BMW OS 7.0 ยังคงสามารถปรับเปลี่ยนโทนสีและข้อมูลของหน้าจอได้ตามแต่ล่ะโหมดการขับขี่ หน้าตาของเรือนไมล์อาจจะดูซับซ้อนสำหรับมือใหม่ที่ยังคุ้นเคยกับรถหน้าปัดอนาล็อกแบบเข็ม แต่พอคุณใช้งานไปซักพักคุณจะเริ่มคุ้นเคยและไม่บ่นอะไรนอกเสียจากบ่นว่าอยากให้ปรับลูกเล่นได้มากกว่านี้อีกซักหน่อย

ในรุ่น M Sport คุณจะได้ทั้งเครื่องเสียงแบบ Harman Kardon ที่ให้พลังเสียงได้ครบทุกทิศทาง พร้อมกับระบบ Wireless charger , Gesture Control และแผงอลูมิเนียมตกแต่งภายในลาย Rhombicle Smoke Grey โดยคอนโซลด้านบนจะถูกบุด้วยหนัง Sensatec พร้อมช่อง Head-up Display ที่จะยิงข้อมูลของรถขึ้นกระจกรถตามที่ตั้งค่าไว้ ทั้งหมดนี้เป็นเอกสิทธิ์ที่มีมาให้เหนือกว่ารุ่น Elite ตามราคาค่าตัวที่จ่ายไป

เช่นเดียวกับชุดพวงมาลัย M Sport หุ้มหนังที่แสนเนียนมือ ติดตั้งมาพร้อมกับแป้น Paddle shift ที่หลังพวงมาลัย ฝั่งซ้ายมือบนพวงมาลัยเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุม Adaptive Cruise Control แบบ Stop&Go ที่จะมีเฉพาะในรุ่น 530e M Sport โดยผู้ขับสามารถเลือกความเร็วและระยะห่างจากรถคันหน้าได้โดยตัวรถจะเบรกและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเองเมื่อทางโล่ง ระบบทำงานควบคู่กับ Radar ที่อยู่ใต้ป้ายทะเบียนหน้า สามารถใช้งานได้ตั้งแต่หยุดนิ่งจนความเร็วสูง

เบาะนั่งตอนหน้าเป็นแบบ Sport หุ้มด้วยหนัง Dakota สี Cognac เดินดายสีดำ หากอยากได้เบาะสีดำต้องเลือกสีภายนอกรถเป็น Phytonic Blue , Bluestone metallic ในรุ่น M Sport ตัวเบาะจะสามารถปรับดันหลังไฟฟ้าเพิ่มได้พร้อมกับปรับปีกเบาะให้ขยายออกหรือโอบรับตัวเราก็สามารถทำได้

บานประตูทั้ง 4 บานมาพร้อมกับระบบ Comfort Access กล่าวคือคุณสามารถพกกุญแจไว้กับตัวแล้วเอามือมาเปิดหรือล็อครถจากประตูไหนของรถก็ได้ ต่างจากเลขอนุกรมอื่นที่จะมีเซ็นเซอร์เฉพาะในประตู 2 บานด้านหน้า มากไปกว่านั้นทั้ง 4 บานยังมีระบบประตูดูด Soft Close ในทุกรุ่นย่อยที่ขายปัจจุบัน

พื้นที่ด้านหลังยังคงความสบายทั้งในการเข้าออกรถและพื้นที่วางขาด้านหลัง ช่องแอร์ที่ซ่อนอยู่ในเสา B ม่านที่ประตูหลังกับกระจกหลังของรถ บ่งบอกว่าเหล่าวิศวกรใส่ใจกับคนนั่งหลังมากแค่ไหน

สำหรับ530e M Spot คันนี้จะเป็นเพียงรุ่นย่อยเดียวที่ได้ระบบปรับอากาศแยกอิสระ 4 โซน แถมมีหลังคา Sunroof ที่สามารถเปิดรับอากาศกับแสงอาทิตย์จากภายนอกรถได้ ในวันที่อากาศดีและกล้องรอบคันแบบ 360 องศา ที่มีความละเอียดของกล้องที่ชัดมาก

นอกเหนือจากประโยชน์ของกล้องรอบคันแบบ 360 องศาที่ใช้ในการกะระยะถอยจอด BMW ยังได้เปิดขาย BMW Drive Recorder ที่จะใช้ตัวกล้องของรถมาบันทึกเหตุการณ์อุบัติเหตุฉุกเฉิน โดยคุณผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถใช้เท้าแตะเปิดและปิดได้ผ่านระบบ Comfort Access ฝาท้ายด้านหลังเป็นแบบไฟฟ้า พื้นที่จุของแม้จะโดนแบตเตอรี่ความจุ 12 kWh แย่งที่ไปบ้างแต่ก็ยังสามารถเก็บของได้ถึง 410 ลิตร หากเป็นรุ่นดีเซลจะมีพื้นที่ลึกกว่าเป็น 530 ลิตร ด้ายซ้ายของที่เก็บของจะเป็นที่เก็บ Adapter ชาร์จไฟที่ให้มากับรถครับ

ขุมพลังของ BMW 530e M Sport

คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตรเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รหัสเครื่องยนต์ B48X ตัวเครื่องมีพละกำลัง 184 แรงม้าในช่วงรอบเครื่องยนต์ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตร เริ่มตั้งแต่ 1,350-4,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กันกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 109 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร

เมื่อทั้งสองระบบทำงานรวมกันจะได้ตัวเลขพละกำลังสูงสุดถึง 292 แรงม้ากับแรงบิด 420 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดของโหมดที่ BMW เรียกว่า Xtraboost โดยในโหมดนี้รถจะปล่อยพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าพิเศษได้นาน 10 วินาที ก่อนจะลดกำลังลงเหลือ 252 แรงม้า ที่แรงบิดเท่าเดิม ส่งผลให้ตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและช่วงเร่งแซงของ 530e M Sport LCI แซ่บขึ้นกว่าก่อน

โดย BMW เคลมตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน Spec Sheet ไว้ได้ 5.9 วินาที หากเป็นรุ่นก่อน LCI BMW เคลมตัวเลขไว้ที่ 6.2 วินาทีแต่เรามาดูเวลาจริงที่ทดสอบกันได้บ้าง

ตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ผมทำได้โดยใช้โหมด Xtraboost เกียร์ D/S และเข้า Launch control นั้นน่าประทับใจมากครับ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นมาจับเวลาจากคลิปที่อัดก็จะเห็นได้ว่าใช้เวลาไปเพียง 5.89 วินาทีเท่านั้น ซึ่งตรงกันกับที่ BMW เคลมไว้พอดีเป๊ะ ถึงแม้ Xtraboost ที่เพิ่มแรงม้าให้กับเครื่องยนต์จะอยู่กับเราสั้นๆ เพียง 10 วินาที แต่มันก็มากเกินพอสำหรับการเร่งแซงและไต่ความเร็วสู่มิติที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ต้องอย่าลืมนะครับว่าช่วงที่ Xtraboost หมดไป พลังของรถก็ยังคงมีอยู่ถึง 252 แรงม้า โดยตัวเลขของ Top Speed ที่ BMW เคลมไว้ใน Spec Sheet นั้นอยู่ที่ 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

มากกว่าพลังที่ล้นเหลือคือการตอบสนองที่รู้ใจของชุดเกียร์

BMW 530e M Sport เป็นเพียงรุ่นย่อยเดียวที่จะได้เกียร์อัตโนมัติแบบ Sport Steptronic ซึ่งเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดเท่ากันกับรุ่น 530e Elite แต่การทำงานของซอฟแวร์เกียร์จะต่างกัน โดย BMW เรียกการจูนของเกียร์ในรุ่น Elite ว่า Steptronic ธรรมดา โดยการตอบสนองของเกียร์ 530e M Sport จะมีการทำงานที่ดุกว่า ต่อเกียร์ได้ไวกว่า ยิ่งจังหวะที่ได้เล่นเกียร์ + – ด้วยแล้วยิ่งเห็นถึงความแตกต่างได้

ส่วนของโหมดการขับขี่ของ 530e M Sport จะมีด้วยกันหลักๆ 4 โหมดคือ Hybrid, Electric, Sport และ Adaptive ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวรถไปตามโหมดที่เลือก หากอยู่ในโหมด Hybrid รถก็จะพยายามจัดสรรพลังงานให้เหมาะสมทั้งความประหยัดและอรรถรสของการขับขี่ การทำงานของเกียร์ก็จะเน้นไปที่ความนุ่มนวล ส่วนของโหมด Electric นั้นก็จะบังคับรถให้ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ล้วนๆ ซึ่งใน Spec Sheet เคลมไว้ว่าสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลถึง 52 กิโลเมตร โดยสามารถใช้ความเร็วได้สูงสุดถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับท่านใดที่กลัวว่าหากใช้โหมด Electric แล้วจะอืดผมได้ลองทำคลิปอัตราเร่งมาฝากกันครับ

จากในคลิปผมกดคันเร่งเต็มด้วยโหมด Electric แต่ไม่กระทืบสุดพิ้นถึงแป้น Kick down เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ติดขึ้นมา นาฬิกาจับเวลาทำให้เห็นว่าอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาเพียง 13.14 วินาที หรือเทียบเท่ากับรถยนต์ City car 1.5 ลิตรบางรุ่นในตลาด ซึ่งพอใช้งานจริงก็พบว่าเหลือเฟือมาก ส่วนของระยะทางที่ชาร์จไฟแล้ววิ่งได้โดยเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 22-23c ตามปกติของรถยุโรป ผมสามารถวิ่งได้ราวๆ 34 กิโลเมตร เพียงพอสำหรับการขับรถไปกลับบ้านจากถนนรามอินทราสู่ถนนพระราม 9 โดยใช้ความเร็วปกติบนทางด่วน

แต่เมื่อปรับ Mode มาที่ Sport คาแรกเตอร์ของรถก็เปลี่ยนไปทั้งจากชุดช่วงล่าง Adaptive ที่ปรับให้โช๊คอัพแข็งขึ้น พวงมาลัยหนืดขึ้น ใน Mode นี้เองหากคุณอยากสนุกในทุกๆ ครั้งที่กดคันเร่งก็สามารถเลือกโหมด Xtraboost เข้าไปเพิ่มได้

ช่วงล่างของ 530e M Sport นั้นถูกเซ็ตมาได้ลงตัวระหว่างความสะบายและความสนุก และถึงแม้ว่าจะอยู่ใน Mode Sport ที่โช๊คอัพปรับให้แข็งขึ้นแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ได้แข็งมากเหมือนกับ BMW ที่เป็นช่วงล่าง M Sport เพียวๆ มาตั้งแต่ต้น กล่าวคือมันแป็นความแข็งในแบบที่เรียกว่าเฟิร์มขึ้นซึ่งจะให้ความมั่นใจแบบตึงๆ มือขึ้นมากกว่า

พวงมาลัยของรถมาพร้อมกับระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อที่ BMW เรียกว่า Integral Active Steering ในช่วงความเร็วต่ำล้อหลังจะเลี้ยวสวนทางกับล้อหน้าเพื่อให้วงเลี้ยวของรถแคบลง แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้นชุดล้อหลังจะเลี้ยวไปทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อให้การตอบสนองของรถคมมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่แปลกส่วนตัวผมสามารถสัมผัสระบบนี้ตอนทำงานได้ชัดเวลาขึ้นอาคารจอดรถที่ต้องเลี้ยววนเป็นวงกลมแคบๆ ซึ่งบางครั้งผมเองก็กะระยะพวงมาลัยผิดจากความคุ้นชินที่คิดว่าต้องใช้องศาพวงมาลัยมากกว่านี้ในการตีวงเลี้ยวและอยู่ๆ มันก็ใช้พื้นที่น้อยลง

สำหรับความเร็วสูงก็ยังคล่องแคล่วแม้จะไม่ได้เป็นพวงมาลัยที่ไวเท่าน้องชายอย่าง 3 Series แต่ก็เป็นพวงมาลัยที่ทำให้การเปลี่ยนเลนซ้ายขวาหรือเดินทางไกลๆ บนทางด่วนคล่องแคล่วกว่าขนาดตัวที่เห็นจริงและยังมีน้ำหนักที่ขับทางไกลได้สบายใจไม่ต้องเกร็งแขนหรือข้อมือมากเกินไป

ส่วนของ Mode Adaptive จะเป็นการปรับจูนทุกค่าที่ผมกล่าวมาตามการขับขี่ของคนขับ โดยตัวรถจะพยายามเดาใจคนขับให้มากที่สุดซึ่งเป็นงานถนัดของ BMW มันเป็น Mode การขับขี่ที่ผมและคุณแพนเลือกใช้ เพราะช่วงล่างจะปรับความแข็งและหนืดอยู่เสมอตามความเร็วของรถ เวลาคลานผ่านหลุมลูกระนาดก็จะนุ่มจนชวนให้นึกถึง 7 Series แต่เวลาวิ่งเร็วก็จะเฟิร์มขึ้นมาโดยไม่ต้องกดปุ่มอะไรให้ยุ่งยากเป็นสมดุลที่ดีของความเป็นรถที่ต้องตอบทุกโจทย์และทุกช่วงวัยของชีวิต

บทสรุป

ผมได้มีโอกาสอยู่กับ BMW 530e M Sport มากกว่า 3 วัน 2 คืน จึงค้นพบว่ามันเป็นรถที่สามารถมอบทั้งความรู้สึกผ่อนคลายให้เราได้จากการเก็บเสียงที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มและตัวเบาะนั่งที่มีทั้งตำแหน่งนั่งที่ออกแบบมาได้สบายเอาใจคนขับและผู้โดยสารเป็นอย่างดี ในส่วนของบทบู๊นั้นในวันที่คุณคิดถึงความเป็นวัยรุ่นอยากจะสนุกนึกคึกขึ้นมา ตัวรถก็พร้อมจะพาคุณไปได้แบบมั่นใจและไม่เขอะเขินต่อบรรดาเด็กๆ ที่อ่อนกว่า

BMW 530e M Sport จึงเปรียบเสมือนชายวัยกลางคนที่รู้จักโลก เข้าใจโลก วางตัวเหมาะสมกับสถานที่และผู้คนที่อยู่รอบตัว แต่ก็ยังไม่ทิ้งจิตวิญญาณความเป็นวัยรุ่นของตัวเองที่แม้ตัวเลขของอายุจะเริ่มขยับขึ้นกว่าก่อน ก็ยังเป็นคนที่ปรับลุคเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ ชอบทำกิจกรรมอะไรใหม่ๆ เหมือนที่วัยรุ่นเป็น แต่ในวันทำงานก็ยังคงลุคผู้บริหารสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่าได้

มันเป็นรถสำหรับทุกช่วงวัยของชีวิตที่เข้าถึงสิ่งที่คนวัยต่างๆ ชอบ เพราะไม่ว่าคุณจะนิยามรถในฝันเป็นอย่างไร BMW 530e M Sport คันนี้ก็จะมีครบทุกรสชาติที่คุณใฝ่หาและทำมันได้อย่างโดดเด่นเสียด้วย

ปัจจุบัน BMW Thailand ได้จัดจำหน่าย 5 Series LCI ด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • BMW 530e Elite เครื่องยนต์เบนซิน Plug-in hybrid (ราคา 2,999,000 บาท)
  • BMW 520d M Sport เครื่องยนต์ ดีเซล (ราคา 3,539,000 บาท)
  • BMW 530e M Sport เครื่องยนต์เบนซิน Plug-in hybrid (ราคา 3,739,000 บาท) รุ่นที่นำมารีวิว

*ราคาข้างต้นรวมแพคเกจ BSI Standard ข้อมูล ณ วันที่ 16/05/2021

ขอขอบคุณ
BMW Thailand
ที่เอื้อเฟื้อรถในการทดสอบ

บทความโดย
ธิติพัทธ์ หิรัญบวรทิพย์


สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาถ้อยคำรูปภาพในบทความโดยผู้เขียนและเว็บไซต์ BIMMER-TH.com
กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปใช้

The following two tabs change content below.

Thitipat Hiranbavorntip

Eat Sleep Drive // First Jobber ผู้ลุ่มหลงกับเสียงเครื่องยนต์และโค้งบนภูเขา

Comments

comments