รีวิว BMW 530e ELITE – หล่อ ใหญ่ ไฟแรง ในงบที่จบง่าย

ขอต้อนรับสู่โลกแห่งวัยผู้ใหญ่ ที่ซึ่งคุณจะมีทางเลือกมากมายด้วยพลังเงินตราที่เหลือเฟือ แต่ก็มิใช่ว่าจะเอาเงินมาโปรยเล่นซื้อทุกอย่างได้ตามใจชอบ เรื่องรถก็เช่นกัน หากคุณอยู่ตัวคนเดียวโดดๆแล้วรวยล้นฟ้า ก็คงไม่มีใครว่าถ้าหากจะซื้อรถราคาสี่ล้านห้าล้านบาทสักคัน แต่ถ้าคุณต้องถูกบังคับด้วยเงื่อนไขต่างๆรอบตัวแล้วยังต้องการรถสักคัน..คุณนึกถึงรถรุ่นไหน

สมมติว่า..คุณมีอายุเลยหลักสามย่านมาหลายปี..หน้าที่การงานของคุณกำลังเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าขนาดของเอวและน่องของคุณจะตามทัน คุณมีลูกที่ยังเล็ก ภรรยาที่ยังสวยโดยไม่ต้องใช้ยาย้อมผมออด๊าซ แต่คุณยังมีความซนแบบวัยรุ่นอยู่ในหัวใจ เมื่อเจอรถวิ่งช้าขวางทาง คุณเลือกที่จะแซงให้จบอย่างรวดเร็ว มากกว่าที่จะคลานตามเต่าแล้วรอให้มีจังหวะแซงโล่งชนิดที่ว่ากดคันเร่งเซนติเมตรเดียวก็แซงพ้น คุณมีภาระทั้งทางบ้านและที่ทำงานมากสำหรับคนในวัยคุณ..แต่บางสิ่งมันเรียกร้องว่า SUV หรือ MPV พรีเมียม ก็ยังดูแก่เกินไปที่จะนำมาเป็นพาหนะคู่ใจ .. คุณคิดว่าจะซื้อรถอะไรเป็นอันดับแรก?

แน่นอนว่า หากคุณเป็นคอรถยุโรป หนึ่งในรถที่คุณจะนึกถึงก็คือ BMW 5 Series รถที่เขย่าและรินเสิร์ฟคุณด้วยส่วนผสมจากวัย 30 up บวกกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน ครอบครัว เครดิตสังคม รสนิยม และข้อความที่จะส่งไปบอกโลกว่าคุณยังชื่นชอบที่จะขับรถเองแม้ว่าเงินเดือนของคุณจะพอให้จ้างคนขับรถได้เดือนละสองคนสบายๆแล้วก็ตาม

ปัญหาอย่างเดียวคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีจะทุ่มเงินมากๆ ไปกับรถแค่คันเดียว คุณอาจจะเซฟเงินเพื่อไว้เตรียมส่งลูกเรียนอนุบาลอินเตอร์ฯ ซื้อ SUV อีกคันให้ภรรยา หรือนำไปลงทุนในการอื่น ดังนั้น แม้ว่าค่าตัวของ BMW 530e M Sport ซึ่งอยู่ที่ 3,939,000 บาท หรือรุ่น Highline ที่ตั้งเอาไว้ 3,539,000 บาท จะไม่ได้ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน แต่ถ้าหากมีทางเลือกใหม่ในราคาที่ Sensible และทำให้ภรรยาคุณคลิก OK ให้คุณซื้อได้ง่ายขึ้น นั่นก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสน

และนั่น..คือจุดที่ BMW 530e รุ่นย่อยใหม่ “Elite” ก้าวเข้ามาสะกิดไหล่คุณเบาๆแล้วบอกว่า How about me?

จัดอุปกรณ์ น้อยลงแต่ไม่ขาด แถมงงกับบางออพชั่น

ด้วยราคาที่ถูกกว่ารุ่น M Sport ถึง 940,000 บาท และน้อยกว่ารุ่น Highline 540,000 บาท รุ่นย่อยใหม่อย่าง Elite ทำให้การเล่น BMW รุ่นใหญ่กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากราคาขายที่แพงกว่า 320d Sport ซึ่งเป็นรถพิกัดเล็กกว่าเพียงไม่กี่หมื่นบาท ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่คุณจะสามารถเป็นเจ้าของ BMW ป้ายแดง 252 แรงม้าได้ในราคาไม่ถึง 3 ล้านบาท แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

แต่แน่นอนครับ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ได้มาฟรีๆ ถ้าจะได้ราคามิตรภาพขนาดนี้ก็ต้องมีบางอย่างหายไปบ้างหากเทียบกับรุ่น M Sport อาทิ

  • ชุดแต่งและปลายท่อไอเสียแบบ M Aerodynamics
  • ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว กับยางหลังแบบขนาดกว้าง 275 มม.
  • หลังคาซันรูฟ
  • ฝากระโปรงท้ายแบบเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า (ของ Elite จะกดเปิดจากรีโมทได้ แต่ปิดด้วยมือ เหมือน 330e F30 M Sport)
  • กุญแจรีโมทมีจอภาพ Display Key
  • คอนโซลหน้าตอนบนแบบบุ Sensatec
  • พวงมาลัยแบบ M Sport + Paddle Shift
  • หน้าปัดแบบจอสีดิจิตอล
  • Head Up Display
  • ชุดตกแต่งวัสดุภายในแบบอะลูมิเนียมลาย Rhombicle
  • จอกลางลดขนาดจาก 10.25 เหลือ 8.8 นิ้ว
  • กล้องรอบคัน 360 องศา
  • ระบบสั่งการด้วยการขยับมือ Gesture Control
  • ชุดเครื่องเสียง Harman Kardon

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าออพชั่นของ 530e Elite จะน่าเกลียด เพราะคุณยังได้ระบบนำทาง, กล้องถอยหลังพร้อมเซนเซอร์ เบาะหน้าแบบสปอร์ต และที่แปลกก็คือ แม้ว่าออพชั่นในภาพรวมจะน้อยกว่ารุ่น Highline แต่รุ่น Elite กลับมีประตูดูดแบบ Soft-close Door เหมือนรุ่น M Sport รวมถึงมีระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติมาให้ ซึ่งสองอย่างนี้จะไม่มีในรุ่น Highline..นับว่าเป็นการจัดออพชั่นที่แปลกดี ทำเอาคนจะเลือกรุ่น Highline มีคิดสองตลบ

สำหรับขนาดมิติตัวถัง มีดังนี้

  • ยาว : 4,936 มิลลิเมตร
  • กว้าง : 1,868 มิลลิเมตร
  • สูง : 1,483 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,975 มิลลิเมตร
  • ความจุถังน้ำมัน : 46 ลิตร (ขนาดเล็กกว่าของรถเบนซินปกติ ซึ่งอยู่ที่ 60 ลิตร)
  • น้ำหนักตัวรถ : 1,770-1,845 กิโลกรัม (เป็นตัวเลขที่ระบุจดสรรพสามิต)

เมื่อมองจากภายนอก ก็ต้องยอมรับว่าดีกรีความเท่ห์จะสู้รุ่น M Sport ที่มาพร้อมชุดแต่ง ล้อโต ยางหลังใหญ่ ไม่ได้ แต่ถ้าวัดกันที่ความแพงของหน้าตา เชื่อว่ามนุษย์ส่วนมากที่ไม่ได้เป็นนักเลงรถคงแยกความต่างได้ยาก 530e Elite มีองค์ประกอบทุกอย่างแบบที่คุณคาดหวังจากรถใหญ่ ล้ออัลลอย Double Spoke ขนาด 18 นิ้วก็มีลวดลายที่เหมาะกับบุคลิกสุขุมของตัวรถ ออกจะน่ามองกว่าล้อของ 520d M Sport ที่มีขนาด 18 นิ้วเหมือนกันเสียด้วยซ้ำ

ภายใน แว่บแรก..เกือบเหมือนรุ่น Highline

หันมาดูที่ภายในกันบ้าง ถ้าคุณเปิดประตูเข้าไปดมๆสองสามวิแรก รับรองว่าแยกไม่ออกว่าอะไหนรุ่น Elite หรือ Highline (แต่รุ่น M Sport จะแยกออกง่ายเพราะผ้าหลังคาบุดำ) เบาะนั่งของ G30 เวอร์ชั่นไทยทุกรุ่นรวมถึง Elite จะบุด้วยหนัง Dakota ส่วนสีเบาะของรุ่น Elite นั้น ถ้าคุณเลือกรถสีเงิน จะได้เบาะนั่งสีดำ แต่หากเป็นสีอื่น ก็จะได้เบาะและภายในสีส้ม Cognac แบบที่เห็นในภาพนี้

เบาะคู่หน้า เป็นเบาะแบบสปอร์ต ปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบหน่วยความจำ 2 ตำแหน่งด้านคนขับ ตัวเบาะรองนั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่และไม่แข็งเกินไป พนักพิงหลัง โอบอุ้มร่างกายกำลังดี มีปีกข้างที่ดูใหญ่ แต่ไม่ได้บีบรัดตัวมากนักเพราะมันไม่ใช่ M5 จุดที่ชอบมากคือพนักพิงหลัง มีความนุ่มนวลพอเหมาะ และพนักพิงศีรษะก็สามารถปรับองศาการดันได้ที่ปุ่มใหญ่ๆด้านข้างพนักพิง นอกจากนี้ยังมีพวงมาลัยแบบที่ปรับได้ด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทางมาให้

ส่วนเบาะคู่หลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เหนือศีรษะ ซึ่งผมสามารถนั่งหลังตรงแล้วหัวไม่ติดเพดานรถ หรือพื้นที่สำหรับวางขา ต่อให้ตัวสูง 183 เซนติเมตรและหนัก 150 แบบผม ก็รู้สึกว่าผมสามารถขยับแข้งเหยียดขาได้สบายถ้าคนขับเป็นคนตัวผอมและสูง 175 ..แต่ให้พูดตามตรง ต่อให้คนขับข้างหน้ามันตัวเท่ากัน ผมก็ยังสามารถนั่งเบาะหลังของ G30 ได้สบาย สมฐานะรถผู้บริหาร ดังนั้น หากวันไหนต้องพาพ่อแม่ของภรรยาไปกินข้าว ก็ไม่ต้องห่วงว่าพวกท่านจะนั่งไม่สบาย

สิ่งที่แปลกหน่อยสำหรับเบาะหลังใน G30 คือ พนักพิงหลังตอนล่าง มันจะดันนูนขึ้นมามากกว่ารุ่นเก่าอย่าง F10 ซึ่งบางท่าน (รวมถึงผม) อาจจะชอบพนักพิงแบบดันเบาๆตามธรรมชาติมากกว่า อย่างไรก็ตามปัญหานี้จะเกิดเมื่อคุณนั่งหลังตรงก้นชิดใน แต่ถ้านั่งแบบไถลตัวมาข้างหน้าเหมือนตั้งใจจะหลับคาเบาะ ก็จะไม่รู้สึกอะไรครับ

ฝากระโปรงท้ายออกแบบให้เว้ากินบริเวณลงมาถึงกันชน เพื่อให้ขนถ่ายสัมภาระได้โดยสะดวก ในซีรีส์ 5 G30 ใหม่นี้ หากเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซล เช่น 530i/520d จะมีพื้นที่ความจุใต้ฝากระโปรงตามมาตรฐาน VDA อยู่ที่ 530 ลิตร ส่วนรุ่นไฮบริดจะโดนอุปกรณ์และแบตเตอรี่เบียดพื้นที่จนเหลือ 410 ลิตร แต่พื้นห้องเก็บของสามารถปรับให้ยุบลงไปได้แบบในภาพ เป็นความพยายามที่จะช่วยให้ใส่ของได้มากที่สุด (ดีกว่าไม่ทำ)

ฝากระโปรงท้ายของ 530e Elite จะต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆตรงที่ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้าในการเปิดและปิด คุณยังต้องใช้แรงในการปิดฝากระโปรงเองอยู่ อย่างไรก็ตาม มันยังมีระบบเอาเท้าแกว่งใต้กันชนแล้วโซลินอยด์ที่ฝากระโปรงจะถีบให้เปิดเด้งออกด้วยแรงสปริง ดังนั้นในการใช้งานจริง ผมว่าระบบนี้เพียงพอแล้ว ตัดมอเตอร์ออกไปตัวนึง ลดน้ำหนัก ประหยัดต้นทุนได้อีก

แผงแดชบอร์ดดูแล้วคล้ายกับซีรีส์ 7 โดยเฉพาะบริเวณช่องแอร์กลาง และการจัดวางตำแหน่งสวิตช์ต่างๆก็คล้ายกัน แต่มีส่วนต่างที่มุมเว้ามุมโค้งบางจุดเพียงแค่นั้น ลักษณะการออกแบบก็เป็นไปตามแนวทางของ BMW ยุคใหม่ เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว การเปลี่ยนแดชบอร์ดช่วงกลาง จากเดิมที่ใหญ่โต อูมขึ้นจนคลุมจอกลางเอาไว้ทั้งชุด มาเป็นแดชบอร์ดแบบแบนราบ แล้วนูนขึ้นมาเฉพาะตรงหน้าปัด ส่วนจอกลางตระหง่านอยู่ตรงกลาง วิธีนี้ช่วยเพิ่มความโปร่งทางสายตา

สัมผัสของวัสดุต่างๆ ให้ความรู้สึกดีตามราคารถ สิ่งที่หายไปเมื่อเทียบกับ G30 รุ่นย่อยอื่นๆ ก็คงมีเพียงแค่แดชบอร์ดตอนบนที่ไม่ได้บุ Sensatec และเย็บตะเข็บ กับวัสดุตกแต่งซึ่งใช้พลาสติกเคลือบเงาสีดำ Gloss ซึ่งแม้จะไม่สวยสง่าแบบลายไม้ หรือเก๋แบบอะลูมิเนียม Rhombicle แต่ก็ไม่ทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารดูกลายเป็นรถราคาถูกๆ แต่พกผ้าไมโครไฟเบอร์ไว้ในรถสักผืนก็จะดี เพราะเวลาฝุ่นจับ หรือมีคนเอานิ้วไปแตะ จะเห็นรอยได้ง่าย

สิ่งหนึ่งที่ยังคงมีอยู่ใน 530e Elite คือไฟเสริมอารมณ์ในห้องโดยสารยามค่ำคืน หรือ Ambient Light ในซีรีส์ 5 คุณสามารถเลือกได้ 6 สี (ม่วง, น้ำเงิน, ส้ม, ทองแดง, เขียว, ขาว) และผสมสีเป็น Combination ต่างๆได้ 11 แบบ เลือกโทนแบบที่ใช่สำหรับคุณได้ และมีส่วนช่วยให้ห้องโดยสารยามอาทิตย์อัสดง ดูสมกับเป็นรถพรีเมียมจริงแท้

บนแดชบอร์ด ไล่จากขวาไปซ้าย บริเวณใต้ช่องแอร์ขวา จะเป็นที่อยู่ของสวิตช์ระบบไฟหน้า รวมถึงไฟตัดหมอกหน้าและหลัง พร้อมสวิตช์ปรับความสว่างส่วนตัว P< และ >P ตรงนั้นคือ Parking Light ที่สามารถเปิดแยกซ้ายหรือขวาให้เป็นจุดสังเกตสำหรับผู้อื่นเมื่อเราจอดรถริมถนนยามค่ำคืน จอดชิดซ้ายก็เปิดไฟด้านขวา ส่วนนี้ผมชอบมากเพราะยังเป็นแบบลูกบิดใช้ง่าย ไม่ใช่แบบของ 3 Series G20 ที่เป็นแบบกดปุ่ม

ก้านปัดน้ำฝน จะอยู่ด้านขวามือ โดยปกติ BMW เวลาจะสั่งให้ระบบอัตโนมัติทำงานจะต้องกดปลายก้าน แต่ซีรีส์ 5 ใหม่ใช้วิธีปัดก้านขึ้น 1 Step แล้วระบบอัตโนมัติจะทำงาน (ถ้ายกก้านขึ้นอีก 1 ระดับจะกลายเป็นการปัดปกติในจังหวะปานกลาง) คุณสามารถเซ็ตระดับความขี้ตื่นขี้กลัวของเซ็นเซอร์ปัดน้ำฝนได้ด้วยลูกบิดที่อยู่บนก้าน

ก้านซ้ายมือ เป็นชุดไฟเลี้ยว ตรงปลายก้านเป็นปุ่ม BC สำหรับเลือกการแสดงผลที่จอชุดเล็กตรงหน้าปัด เช่น ตั้งให้โชว์อัตราการสิ้นเปลืองขณะขับขี่ โชว์ระยะทางที่เหลือวิ่งได้ หรือจะปิดไปเลยก็ได้

ส่วนบนแผงคอนโซลกลางนั้น ใต้ช่องแอร์จะเป็นที่อยู่ของชุดควบคุมเครื่องเสียง ซึ่งในรุ่น Elite นี้ แม้หน้าตาจะดูเหมือนกับรุ่นอื่น แต่มันเป็นชุดเครื่องเสียงแบบธรรมดาพร้อมระบบนำทางแบบ Business ไม่ใช่แบบ Professional อย่างของรุ่นอื่น และไม่มีทวีตเตอร์ที่ประตูให้ด้วย แต่ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเป็นนักฟังตัวยง ก็ลองปรับ Bass และ Treble ดีๆ อาจจะได้เสียงแบบที่พอให้ใจชื้นรื่นหูได้ แต่อย่าหวังมิติและความละเอียดเสียงแบบ Harman Kardon ในรุ่น M Sport ก็พอ

ระบบ Gesture Control ที่มีมาให้ในรุ่นย่อยอื่น ก็ไม่มีในรุ่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่าแต่ละท่านคิดอย่างไรกัน แต่พูดตามตรงว่าทดสอบ BMW มานับสิบคัน ไม่เคยรู้สึกชอบระบบนี้เลยเพราะไม่ใช่คนที่รับโทรศัพท์ขณะขับรถ และการเบา/ดังเสียงวิทยุ ก็ใช้วิธีกดปุ่มบนพวงมาลัยเอา ง่าย และเร็วดีอยู่แล้ว

ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ฝั่งซ้ายขวาสามารถเลือกปรับอุณหภูมิและแรงลมต่างกันได้ สามารถกดเลือกให้ทำงานแบบ 1 Zone หรือ 2 Zone ได้ และเมื่อเข้าสู่ยามราตรี สีที่เรืองแสงขาวตามปกติ ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้มอำพันตามประเพณี BMW

ส่วนบริเวณรอบคันเกียร์ ก็จะเป็นสวิตช์ควบคุมระบบการขับขี่ต่างๆ ทางด้านขวาเป็นสวิตช์เปิดปิดระบบ DSC และสวิตช์โหมด Drive Select: ECO PRO>COMFORT>SPORT ซึ่งภายในโหมด SPORT นี้ ก็จะมีทั้ง SPORT แบบปกติ กับ SPORT Individual ซึ่งคุณสามารถเข้าไปตั้งค่าผ่าน iDrive ได้ว่าจะเลือกการตอบสนองของแต่ละองค์ประกอบได้

  • Steering (พวงมาลัย) – Sport/Comfort
  • Engine (เครื่องยนต์หรือคันเร่ง) – Sport/Comfort
  • Transmission (เกียร์) – Sport/Comfort

ตามมาด้วยปุ่มสำหรับปรับโหมดการทำงานของ eDrive ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 โหมด

  • AUTO – คือให้คอมพิวเตอร์บริหารจัดการระบบไฮบริดให้หมด
  • Max eDrive – คือสั่งให้รถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าล้วน (EV Mode)
  • Battery Control – คือการพยายามควบคุมให้มีปริมาณไฟคงเหลือในแบตเตอรี่ตามตัวเลขที่คุณกำหนด เมื่อกดไปโหมดนี้ จะมีค่าที่เซ็ตไว้ปรากฎบนจอกลาง ใช้สวิตช์ iDrive หมุนเพื่อปรับค่า ผมมักชอบตั้งไว้ที่ 100% ให้มันชาร์จเต็มๆหม้อ แล้วค่อยกดไปโหมด AUTO เองภายหลัง

ด้านหลังคันเกียร์ เป็นสวิตช์สำหรับระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Brake Hold ซึ่งเมื่อกดปุ่มนี้แล้วเวลาขับมาจอดที่แยกไฟแดงรถติด คุณสามารถถอนเท้าออกจากเบรกได้ รถจะไม่เคลื่อนที่ และเมื่อไฟเขียวก็กดคันเร่งออกไปได้เลย

ไชโยให้กับกล้องหลัง..แต่ว่าหน้าปัดนี่สิ

จอกลางขนาด 8.8 นิ้ว เล็กกว่าของรุ่นอื่นแบบรู้สึกได้ อันที่จริงเมื่อสมัยที่ G30 ยังเป็นรถ CBU จะมีรุ่นออพชั่นน้อย Luxury Limited ที่ใช้จอแบบเดียวกัน แต่เรื่องฟังก์ชั่นก็มิได้ขาด เพราะคุณจะได้ระบบนำทาง “Business” และกล้องมองถอยหลังมาใน 530e Elite (ไชโยให้กับทีมเลือกอุปกรณ์หน่อย) แล้วที่สำคัญคือ คุณได้ระบบ Park Assist ถอยจอดอัตโนมัติที่เหมือนกับของรุ่น M Sport มาด้วย ต่างกันแค่ Elite จะไม่มีมุมมองกล้องรอบคันมาให้ วิธีใช้ก็ไม่ยากครับ

  1. ใช้ความเร็วไม่เกิน 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงระหว่างการหาช่องจอด
  2. กดปุ่ม PDC ที่ข้างขวาของคันเกียร์
  3. จากนั้นวิ่งผ่านช่องที่คิดว่าน่าจะจอดได้ ระบบจะประเมินความลึกและยาวของพื้นที่
  4. หากระบบตรวจพบว่าช่องนั้นลึกมากและกว้างมาก ก็จะถามคนขับว่าจะเลือกจอดแบบชิดขอบทางหรือถอยเข้าซอง กดสั่งบนจอกลางได้เลย
  5. ในบางกรณีที่มีที่จอดว่างทั้งฝั่งซ้ายและขวาของถนน ระบบจะถามว่าจะจอดฝั่งไหน ให้ตอบโดยการปัดก้านไฟเลี้ยวไปยังฝั่งที่ต้องการ
  6. เมื่อหน้าจอแสดงระบบ PDC พร้อม สิ่งที่คุณต้องทำก็คือกดปุ่ม PDC ค้างไปเลย แป้นเบรกจะยู่ลง คุณปล่อยเท้าจากเบรกกับพวงมาลัยได้เลย แค่กดปุ่ม PDC คาเอาไว้ รถจะเดินหน้า ถอยหลัง เปลี่ยนเกียร์ เบรกและหมุนพวงมาลัยเองจนรถจอดเสร็จค่อยปล่อยมือจากปุ่ม PDC

อย่างไรก็ตาม หากคุณปล่อยปุ่มระหว่างกำลังถอยเข้าจอด รถจะหยุดอยู่กับที่ หากปล่อยเอาไว้นานๆ คุณก็จะต้องไปเริ่มขั้นตอนการจอดใหม่ทั้งหมดนะครับ

แผงมาตรวัดเป็นแบบ Partially digital ไม่รู้จะเรียกยังไง ถ้าคุณสังเกตดีๆ ตรงกลางหน้าปัดจะเป็นจอสี นั่นก็รวมถึงส่วนที่เป็นเข็มด้วย แต่บางส่วนเช่นมาตรวัดความเร็วตั้งแต่ 0-200 (เฉพาะช่วงนี้) และมาตรวัดการใช้พลังงานช่วง 0-100% จะเป็นอนาล็อกเรืองแสง ต่างจากรุ่นอื่นๆที่ได้หน้าปัดดิจิตอลกันทั้งหมด ส่วนที่เป็นอนาล็อกจะเปลี่ยนหน้าตาไม่ได้ แต่ส่วนที่ไปตกอยู่ในอาณาเขตของจอสี จะพอมีลูกเล่นบ้าง การกดโหมด Sport ก็แค่มีตัวเลขวัดความเร็วแบบดิจิตอลโผล่มาที่ฝั่งซ้าย และตำแหน่งเกียร์โผล่ที่ฝั่งขวา

เรื่องความสวยงาม ไมใช่ปัญหาหรอกครับ เวลาขับจริงมันก็ดูสวยไม่แพ้ชุดมาตรวัดจอสีของรุ่นอื่นๆเลยแม้แต่น้อย แต่จุดที่ผมเซ็งเป็ดเซ็งไก่ที่สุดน่าจะเป็นการที่มันไม่มีมาตรวัดรอบครับ ผมกับคุณอู๋ spin9 และทีมเว็บ bimmer-th ทั้งเว็บช่วยกันหาแล้วยังไงก็ไม่มีวิธีทำให้มันโชว์มาตรวัดรอบ คือ..ไม่รู้สิ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขับ BMW ที่ไม่มีวัดรอบอ่ะครับ E21 แก่ๆของน้าผมยังมีเลย

จริงอยู่ว่าความฉลาดของเกียร์ BMW มันดีพอจนผมแทบไม่ต้องใช้ฟังก์ชั่นชิฟท์เกียร์แบบ Manual ก็อยู่ได้ แต่ในการขับทางไกล ที่มีโค้งหรือเป็นเขตภูเขา การเล่นเกียร์มันช่วยให้เราขับได้ปลอดภัยขึ้นและจะมั่นใจขึ้นถ้าไม่มีวัดรอบ พอมาเจอหน้าปัดของ Elite ผมต้องใช้วิธีจำให้ขึ้นใจเอาว่า เกียร์สอง สุดแถวๆ 70 เกียร์สามแถวๆ 120 เกียร์สี่ได้ 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันก็ช่วยให้ผ่านอุปสรรคไปได้

พลังขับแรงสะใจ ไม่ต้องทำเพิ่ม (ถ้าเมียไม่อนุมัติ)

ขุมพลังของ 530e Elite มาจากต้นกำเนิด 2 แหล่ง แหล่งแรกก็คือพระเอกวงการสหกรณ์โคนมมึนเช่น “Twin Power Turbo” 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์เดี่ยว รหัส “B48B20A” ซึ่งเป็นบล็อคพื้นฐานในพิกัด 2.0 ลิตร กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 ในขณะที่เครื่องตัวแรงของ 530i จะเป็นรหัส B48B20B ขนาดกระบอกสูบเท่ากันแต่ลดกำลังอัดลงเหลือ 10.2 : 1

เครื่องยนต์รุ่นนี้ ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,250 รอบ/นาที

ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า Synchronous electric motor ที่แซนด์วิชเอาไว้ระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ ตัวมอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 113 แรงม้า (PS) ที่ 2,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ 0-2,500 รอบ/นาที

รวมการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด420 นิวตันเมตร

ทั้งหมดนี้ ส่งกำลังสู่ล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ที่ได้รับการปรับอัตราทดใหม่ไม่เหมือนกับ 530i

  • เกียร์ 1 = 4.71
  • เกียร์ 2 = 3.14
  • เกียร์ 3 = 2.11
  • เกียร์ 4 = 1.67
  • เกียร์ 5 = 1.28
  • เกียร์ 6 = 1.00
  • เกียร์ 7 = 0.84
  • เกียร์ 8 = 0.67
  • เกียร์ถอยหลัง = 3.29
  • อัตราทดเฟืองท้าย = 3.23

ช่วงล่างของซีรีส์ 5 G30 ด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบน และช่วงล่างหลังแบบ Five-link (Multi-link) ตัวปีกนกทำจากอะลูมิเนียม มีการออกแบบเพื่อช่วยต้านไม่ให้รถเกิดอาการหน้าทิ่มท้ายยกเวลาเบรกหนักๆ

เรื่องสเป็คช่วงล่างนี่ปวดหัวมากเพราะเอาเลขตัวถังไปค้นบนเว็บ ก็ทราบแค่ว่าเป็น “Standard Spec” ดีว่าได้ฝ่ายเทคนิคของ BMW ช่วยค้นกระจุย ถึงทราบเพิ่มเติมว่าสปริงและโช้คของ 530e Elite และ Highline นั้น จะเป็นคนละเบอร์กับ 520d Luxury/Sport โดยจะแข็งหนืดขึ้นเพื่อรองรับน้ำหนักตัวและแบตเตอรี่ และสปริงหลังก็จะเป็นคนละเบอร์กับ 530e M Sport (ไม่แข็งเท่า) และทั้งหมดที่ว่าไปนี้ จะไม่มีใครแข็งหนึบไปถึงระดับ 520d M Sport หรือ 530i M Sport ส่วนยางที่ติดรถทดสอบมา เป็น Pirelli Cinturato P7 ขนาด 245/45R18 Run-flat ทั้งสี่ล้อ

พวงมาลัยของ G30 ทุกรุ่น เป็นเพาเวอร์แบบไฟฟ้า Servotronic ปรับน้ำหนักตามความเร็ว และยังเลือกโฟกัสของความหนืดได้ 2 ระดับตามโหมดการขับขี่ ECO PRO>COMFORT จะเป็นพวงมาลัยแบบเน้นเบา ส่วน SPORT จะมีการหน่วงพวงมาลัยเพิ่มขึ้น ในโหมด SPORT INDIVIDUAL คุณจะสามารถเข้าไปเซ็ตน้ำหนักพวงมาลัย 2 ระดับได้ตามใจชอบ อัตราทดพวงมาลัยอยู่ที่ 16.3:1

ระบบเบรก เป็นดิสก์ 4 ล้อ สเป็คมาตรฐาน ด้านหน้าคาลิเปอร์ 2 Pot และด้านหลัง 1 Pot ทำงานผ่านชุดหม้อลมไฟฟ้าเชื่อมกับระบบ Regenerative Braking System ที่แปลงแรงหน่วงของรถเป็นพลังไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ มีกล่อง ECU คอยบริหารแรงในการเบรกและเลือก/จัดการ การทำงานระหว่างระบบเบรกไฮดรอลิก กับระบบเบรกด้วยแรงหน่วงมอเตอร์ไฟฟ้า

Hit the road, Jack

อัตราเร่ง ในโบรชัวร์ ระบุไว้ว่า 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จบใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอได้มาขับจริง มีเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ผมทำการทดสอบด้วยตัวเองและนาฬิกาจับเวลา น้ำหนักบรรทุก 150 กิโลกรัม สัมภาระ 20 กิโลกรัมและน้ำมัน 3/4 ถัง ได้ตัวเลขดังนี้

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Comfort Mode = 7.55 วินาที / Sport Mode = 7.15 วินาที

80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Comfort Mode = 5.20 วินาที / Sport Mode = 4.71 วินาที / Sport Mode + คาเกียร์ 3 รอไว้แล้วกระแทกคันเร่ง = 4.35 วินาที

แรงดึงของ 530e นั้นมากพอที่จะทำให้คุณฉีกยิ้มกว้างๆได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง ด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยดีดออกตัวตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องเทอร์โบทำให้รอรอบเลยแม้แต่น้อย เข็มความเร็วกวาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นยันปลาย ผมลองจับเวลา 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเล่นๆก็ได้ 25.8 วินาที นี่ถ้าเป็นยุค 90s คุณจะต้องใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเทอร์โบถึงจะทำได้ แต่ในปัจจุบันเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้าก็ให้คุณได้แล้ว

ความเร็วสูงสุด เอาเข้าจริงเมื่อถึง 235 ก็ยังไหลต่อได้ แต่ในที่สุดก็ไปล็อคอยู่ที่ 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นก็เหลือพอและเกินพอสำหรับการวิ่งบนถนนในเมืองไทยแล้ว ส่วนการใช้งานตามปกติ แทบไม่มีจุดให้ต้องติ กดคันเร่งมากหรือน้อยก็ได้พลังตามต้องการ โหมด SPORT ช่วยดึงรอบเครื่องไว้สูงและสั่งให้เครื่องยนต์ติดคาไว้ตลอดเวลา เวลาขับในสถานการณ์ที่ต้องเหยียบบ้างยกบ้าง ให้ความมั่นใจได้ดี

ส่วนการขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าล้วน (Max eDrive) นั้น สามารถทำความเร็วสูงสุดได้เกือบ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และให้พลังอัตราเร่งพอๆกับอีโคคาร์ 1.2 ลิตร ซึ่งถ้ามองว่านี่คือพลังจากมอเตอร์อย่างเดียว ก็ถือว่าพอแล้วสำหรับการขับใช้งานในเมือง และยิ่งถ้าเป็นช่วงออกตัว แรงดึงจะดีกว่าที่คุณคิดด้วยซ้ำไป

เรื่องพวงมาลัย ไม่มีปัญหา มันให้น้ำหนักหน่วงกลางที่ดี มีความคล่องตัวเวลาหมุนซ้าย/ขวายามขับในเมือง BMW เซ็ต Servotronic ในรถรุ่นนี้มาได้ดีมากจนสามารถครอบคลุมทั้งการใช้งานในเมืองและการวิ่งทางไกลด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนว่าน้ำหนักพวงมาลัยจะหนืดขึ้นกว่า 520d Luxury G30 ตัวนำเข้ายุคแรกๆด้วยซ้ำ เพราะผมไม่ต้องปรับน้ำหนักพวงมาลัยไป SPORT ก็สามารถขับเส้นมอเตอร์เวย์ยาวๆได้โดยไม่เมื่อยล้าเลย

จุดเดียวที่ยังรู้สึกว่าปรับปรุงได้ก็คือช่วงล่าง ถูกล่ะ รุ่นนี้นับว่าเป็นรุ่นย่อยราคาย่อมเยา คงไม่ควรคาดหวังอะไรมาก แต่อย่างน้อย ความนิ่ง หนักแน่น ที่ความเร็วสูงเกิน 140 ก็ควรดีกว่านี้ เพราะคนขับ BMW โดยเฉพาะคนที่เลือกรถ 252 แรงม้า คงมีน้อยคนที่ไม่เคยวิ่งเกินความเร็วระดับนั้น 530e Elite มีอาการยวบยาบไปตามพื้นถนน ท้ายส่ายเหมือนรถโช้คอ่อนเวลาเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้งแล้วเจอถนนที่ไม่เรียบ นี่คืออาการแบบเดียวกับ 520d Luxury/Sport เด๊ะๆ และท้ายรถไม่นิ่งเท่า 530e M Sport กลายเป็นว่ายิ่งใช้ความเร็วสูงมาก ยิ่งต้องอาศัยสมาธิในการคุมมากขึ้น ทำให้ผมคิดถึงช่วงล่างของ 630d GT ขึ้นมาทันที เพราะรถรุ่นนั้น ทั้งนุ่ม ทั้งนิ่งและแน่นในแบบที่ผมคาดหวังจาก BMW เวอร์ชั่นรถผู้ใหญ่

แต่อย่าเพิ่งมองทุกอย่างในแง่ลบ เพราะในชีวิตจริง คุณยังสามารถสั่งของแต่ง M Performance หรือของแต่งสำนักต่างๆมาใส่ได้ และต่อให้คุณไม่ทำอะไรกับมันเลย ขอแค่ความเร็วไม่เกิน 100 530e Elite จะเล่นกับคุณอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะในโค้งแคบความเร็ว 70-80 ซึ่งมันสามารถรักษาอาการตัวถังได้ดี ยังเป็นรถที่ขับบนเขาแล้วสนุกได้อยู่

สำหรับอัตราการสิ้นเปลืองนั้น ก็เป็นไปตามวิสัยของรถ Plug-in ครับ เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% คุณจะมีระยะวิ่ง EV range ให้ใช้ 30-35 กิโลเมตร ซึ่งนั่นก็พอสำหรับการขับไปทำงานและกลับบ้านของผู้บริหารหนุ่มหลายๆท่าน พอถึงบ้านก็เสียบปลั๊กชาร์จไฟ รุ่งขึ้นก็ขับไปทำงานอีก ถ้าเป็นแบบนี้ 530e อาจไม่ต้องการน้ำมันเลยสักหยดจนกว่าคุณจะกระแทกคันเร่งเรียกพลังนั่นล่ะ

ถ้าขับเดินทางไกล โดยชาร์จแบตเตอรี่ไว้ 100% จากนั้นปล่อยโหมดไฮบริดไว้ที่ AUTO eDrive คุณจะสามารถวิ่ง 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วยังได้ตัวเลขระดับ 15.8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งผมทดลองมาแล้วโดยการวิ่งจากพระราม 9 ไปถึงไร่องุ่น Silverlake

อย่างไรก็ตาม หากแบตเตอรี่หมดแล้วจำเป็นต้องมีการสั่งให้เครื่องยนต์ชาร์จไปด้วยระหว่างขับขี่ ..สมมติว่าแบตเตอรี่อ่อน เหลือแค่ 4-5% แล้วคุณกดโหมด Battery Control ให้ไปที่ 100% คุณจะต้องขับประมาณ 60 กิโลเมตร หรือ 45-50 นาทีมันถึงจะชาร์จเต็ม และในระหว่างนั้น 530e จะบริโภคน้ำมันได้ตั้งแต่ 8.6-11 กิโลเมตรต่อลิตรแล้วแต่สภาพการวิ่ง ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนที่ต้องขับรถไกลๆบ่อยมากและมีโอกาสแวะชาร์จน้อยครั้ง 520d เครื่องยนต์ดีเซลก็คงเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่า

ส่วนเรื่องการเก็บเสียงนั้น ทำได้ดีมากครับ เสียงจากใต้ท้องรถ จากยาง และกรอบกระจก มีเข้ามาน้อย ต้องวิ่งเกิน 130 ขึ้นไปถึงจะดังรบกวนบ้าง มันคือความเงียบแบบที่คุณคาดหวังจากรถยุโรป

สรุป: ซื้อมาใช้เดิมๆประหยัดงบ หรือซื้อมาแต่งต่อก็ได้เพราะงบเหลืออีกบาน

BMW 530e Elite นับว่าเป็นรุ่นย่อยหนึ่งที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จากการนำเอาขุมพลัง i Performance ที่มีสมรรถนะสูง อัตราเร่งตามเท้าตามใจ และสำหรับคนที่ส่วนใหญ่ใช้รถวันละไม่เกิน 30 กิโลเมตร ก็ยังเป็นทางเลือกที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาก ทั้งหมดนี้ นำมารวมกับออพชั่น ที่แม้จะไม่อู้ฟู่เท่ารุ่น M Sport แต่คุณก็ยังได้ประตูดูด Soft Close มีกล้องถอยหลัง และระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ ในขณะที่ภายนอกและภายในของรถ ก็ยังดูแล้วมีความแพงในตัว ใกล้เคียงกับรุ่นย่อย Highline

สิ่งที่ยังไม่ถูกใจก็มีอยู่บ้าง แต่บางเรื่องก็เป็นรสนิยมหรือการใช้งานของแต่ละคนที่อาจมองไม่เหมือนกัน อย่างแรกที่ทำใจไม่ได้และอยากจะเขียนจดหมายไปหาสำนักงานที่มิวนิค บอกว่า หน้าปัดน่ะ จะไม่ใช่จอสีแบบเต็มก็ไม่ว่าหรอก แต่ช่วยใส่ฟังก์ชั่นโชว์วัดรอบมาให้หน่อยเถอะจะเป็นพระคุณอย่างสูง

อย่างที่สองคือ ช่วงล่าง ยังไม่ถึงกับประทับใจนัก ถ้าเป็นรถยี่ห้ออื่น ผมอาจจะไม่ว่าอะไร แต่ 530e เป็น BMW และเมื่อเป็นลูกชายแห่งแบรนด์ใบพัดฟ้าขาวแล้ว ผมคาดหวังให้มันเป็นรถที่ให้ความสนุกและมั่นใจในการขับขี่ ช่วงล่างของ 530i M Sport กับ 630d GT M Sport เป็น BMW ซาลูนในแบบที่ผมคิดว่ามันควรเป็น

แต่เมื่อมามองส่วนต่างของราคา.. 2.999 ล้านบาท ถูกกว่า 530e M Sport เกือบล้านบาท เงินตรงนั้นเหลือมากพอให้พวกเราไปแต่งรถ เปลี่ยนล้อและยาง หาช่วงล่างสปอร์ตจากยุโรประดับพรีเมียมเกรดสูง หรือทำสิ่งอื่นๆตามใจชอบได้อีกมาก ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ชดเชยข้อด้อยของช่วงล่างได้เป็นอย่างดี

ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหนุ่ม ไฟแรง ทั้งโลกนี้ก้มหัวให้คนเดียวคือภรรยา คุณมีลูกที่กำลังน่ารัก และกำลังมองหารถที่สะท้อนถึงบุคลิกภาพอันสง่างามแต่ไม่ขี้โวยวาย รักสงบแต่พร้อมรบเมื่อจำเป็น 530e Elite น่าจะเป็นตัวเลขที่ลงล็อคตามความต้องการดังกล่าวของคุณ และสามารถขออนุมัติการซื้อจากสุดที่รักของคุณได้ง่ายขึ้นอีกด้วย


TEAM’s OPINION by Thitiphat H. (Mr. Mo)

BMW 530e Elite คือน้องใหม่ในตระกูลอนุกรม 5 ที่ BMW Thailand เพิ่งคลอดออกสดๆร้อนๆและสร้างเสียงฮือฮาให้กับบรรดาสาวก Bimmer ได้ไม่ใช่น้อย หากผมนึกย้อนความกลับไปเมื่อราว 2 ปีก่อน คือช่วงเวลาสุดวิเศษที่ผมและทีมงาน Bimmer-th ได้มีโอกาสทดสอบ 530i M Sport Sedan 4 ประตูที่ขับดีจนถูกยกย่องจากพวกเราว่าเป็นรถที่มี Setting ที่ลงตัวที่สุดและสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันในบทบู้และบทสบายได้มากที่สุด

มาในวันนี้แม้ BMW 530e Elite จะไม่ได้เป็นรถที่มี Setting ต่างๆ ออกมาได้ลงตัวสำหรับที่สุดสำหรับคนชอบขับรถ แต่สิ่งที่ 530e Elite คันนี้มีและทำให้รถคันนี้โดดเด่นจนน่าจับตามอง เห็นทีจะอยู่ที่อุปกรณ์ที่มาพร้อมกับตัวรถและพละกำลังของเครื่องยนต์ ที่เมื่อผสมผสานเข้ากับตัวรถทั้งคันและราคาที่วางจำหน่ายแล้ว นับว่าเป็นรถที่ลงตัวกับเงินที่จ่ายไปจนคุณไม่อยากที่จะติอะไรมันอีก Option ที่หายไปบนหน้ากระดาษโบรชัวร์ (นอกเหนือจากมาตรวัดรอบ) คือ Option ที่เมื่อคุณใช้ชีวิตจริงแล้ว คุณแทบจะไม่ได้ใช้มันเลยซักนิด

อัตราเร่งที่ว่องไวและพวงมาลัยที่คมในลักษณะที่มีความไวกำลังพอดีคือส่วนสำคัญ มอบประสบการการขับขี่ที่คู่ควรกับการเป็น BMW อยู่แม้ว่าช่วงล่างจะติดนิ่มไปบ้าง แต่หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้ขับรถเกินกฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ข้อเสียเรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาของคุณเลยเมื่อเทียบกับด้านบวกด้านอื่นเช่น พื้นที่โดยสารภายใน ตำแหน่งนั่งของเบาะต่างๆ และการเก็บเสียงภายในรถ ทั้งหมดนี้คือความดีงามสมกับการเป็นรถ Executive car 4 ประตูที่มีอารยธรรม ผมไม่แปลกใจเลยหาก BMW Thailand จะมียอดจอง 530e Elite ถล่มทลายจนต้องรอคิวนาน เพราะนี้คือ BMW ที่คุ้มค่ากับเงินที่คุณจ่ายไปที่สุดในรอบปีนี้อย่างเถียงไม่ออกจริงๆ ครับ

EXTRA READ

ชมภาพเพิ่มเติมแบบจุใจ ใน Gallery รวมรูปเก็บยกคันของ 530e Elite คลิกที่นี่

ถ้าภรรยาถามว่าแล้วรุ่น M Sport ต่างกันแบบไหน คลิกที่นี่ แล้วเอาให้เขาดู แล้วขอให้โชคดี 530e แปะโรงรถครับ

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments