รีวิว BMW M2 น้องเล็กประจำตระกูลที่เร็ว ขี้เล่น เป็นกันเอง แต่อย่าคิดลองดีถ้าไม่แน่จริง

ครั้งสุดท้ายที่คุณสนุกกับการขับรถมันคือเมื่อไหร่กันเหรอครับ?

สำหรับผมมันคือช่วงที่จบจากมหาวิทยาลัยย่านกลางเมือง และเพิ่งจะเริ่มต้นทำงานมีรายได้เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก ผมนำรถที่คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้มาแต่งจนกลายเป็นรถสำหรับวิ่ง Track Day ที่ยังพอจะสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วยได้ และไม่ว่าชีวิตจะเจอกับอะไรมา ขอแค่เพียงได้ขึ้นมาอยู่หลังพวงมาลัยของรถคันนั้นเท่านั้น ทุกอย่างรอบตัวก็จะคลี่คลายและเงียบสงบลง

BMW M2 Coupé เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง M TwinPower Turbo พละกำลัง 370 แรงม้า

สัญลักษณ์ M ที่ปรากฏอยู่รอบคันที่บ่งบอกว่ามันไม่ใช่ ซีรีส์ 2 คูเป้ ธรรมดา แต่ถ้ายังไม่เชื่อจะมาลองดูกันสักตั้งก็ได้!

พอเวลาผ่านไป รถคันนั้นถูกปลดประจำการเหลือเพียงใช้ขับเล่นวันเสาร์อาทิตย์ และสุดท้ายก็ไม่ได้ขับอีกเลย ความรู้สึกสนุกที่ได้ขับรถเลือนหายไปจากความทรงจำผมทีละนิด จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งที่มีรถคูเป้สีฟ้าคันกระทัดรัดมาจอดอยู่ตรงหน้า ซึ่งถ้าจะเปรียบเป็นสัตว์เลี้ยง เจ้านี่ก็คงจะเหมือนสุนัขพันธุ์แจ๊ครัสเซลล์เทอร์เรียที่เข้าฟิตเนสเป็นประจำ โป่งล้อของมันโหนกนูนเป็นมัดกล้าม กันชนหน้ามีช่องดักลมอันเขื่องอยู่กลาง ส่วนช่องที่ขนาบข้างใช้ดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงปีกของเครื่องบินรบ มองลึกเข้าไปข้างในจะพบกับแผงรังผึ้งอีกสองชุด โดยช่องฝั่งซ้ายเมื่อมองจากหน้ารถ (ฝั่งคนขับ) จะเป็นที่อยู่ของชุดรังผึ้งระบายความร้อนน้ำมันเครื่อง ส่วนฝั่งขวาจะเป็นรังผึ้งระบายความร้อนของหม้อน้ำเสริมให้กับรังผึ้งหลักที่อยู่ช่องกลาง ตัวรถภายนอกมีชุดแต่งตามที่คุณคาดหวังจะได้เห็นในรถตระกูล M ขนานแท้ ทั้งกระจังหน้าลายซี่คู่สีดำ, ล้อและเบรก M, สปอยเลอร์ Ducktail ขนาดเล็กที่ดูดีเอามากๆ, ปลายท่อไอเสียจำนวนสี่ท่อ และสัญลักษณ์ M ที่ปรากฏอยู่รอบคันที่บ่งบอกว่ามันไม่ใช่ ซีรีส์ 2 คูเป้ ธรรมดา แต่ถ้ายังไม่เชื่อจะมาลองดูกันสักตั้งก็ได้!

อุปกรณ์ตกแต่งตามแบบฉบับที่รถ M แท้ทุกคันต้องมี

ล้ออะลูมิเนียม Forged สีดำขนาด 19 นิ้ว (หน้า 9 นิ้ว หลัง 10 นิ้ว) รัดไว้ด้วยยาง Michelin Super Sport ขนาด 245/35ZR19 และ 265/35ZR19 ตามลำดับ ครอบทับอยู่บนจานเบรกด้านหน้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 380 มิลลิเมตร และด้านหลัง 370 มิลลิเมตร ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า M Compound Brake โดยตัวจานที่มีการเจาะรูและใส่ครีบระบายความร้อนนั้นทำมาจากวัสดุ Grey-cast iron ส่วนตัวแป้นจาน (Disc hub) ทำมาจากอะลูมิเนียมเพื่อการลดน้ำหนัก มันถูกประกบด้วยคาลิปเปอร์ M สีน้ำเงิน 4 POT ในด้านหน้า และ 2 POT ในด้านหลัง

BMW M2 เป็นน้องเล็กสุดจาก BMW M GmbH บริษัทคู่บารมี BMW ที่นับวันดูจะยิ่งซ่าส์มากขึ้นทุกวัน ผมคว้ากุญแจจากมืออู๋ Spin 9 แล้วเดินอาดๆ ไปขึ้นตำแหน่งคนขับ เหยียบเบรกพลางใช้นิ้วชี้กดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์หกสูบเรียง 3.0 ลิตร TwinPower Turbo ตื่นขึ้นมาต้อนรับผมด้วยเสียงกระหึ่มดังสนั่น น่าแปลกเพราะผมเองที่เป็นคนปลุกให้มันตื่น แต่กลับรู้สึกว่าตัวผมเองต่างหากที่ถูกปลุก ภาพความสนุกจากการขับรถในอดีตไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัวคุณราวกับเกิดคลื่นสึนามิแห่งความทรงจำ และถ้าผมไม่ได้รับหน้าที่มาเขียนรีวิวให้พวกคุณอ่านกันอยู่นี้ ผมคงจะตบคันเกียร์ M DCT มาทางขวา แล้วกระแทกคันเร่งพา BMW M2 พุ่งออกไปรับมือกับคลื่นสึนามิที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในหัวผมให้มันสิ้นๆ เรื่องไปซะ

WHAT’S NOT TO LOVE?

แต่ไหนๆ แล้วผมจะพาคุณผู้อ่านไปชมภายในของ BMW M2 กันก่อนก็แล้วกัน หลายคนบอกว่ารถราคา 5.939 ล้านบาท มันน่าจะต้องมีอุปกรณ์หรูหราหรือลูกเล่นมากกว่านี้ แต่นี่นอกจากพวงมาลัย M ทรงสปอร์ต 3 ก้าน พร้อมก้านแพดเดิลชิฟท์, มาตรวัด M ที่ไม่มีเข็มวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง, เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มหนัง Dakota ประทับตรา M เดินด้ายสีฟ้า Polar Blue พร้อมหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง, เข็มขัดนิรภัยขลิบแถบสีประจำแผนก M อยู่ฝั่งนึง, กาบบันไดประตู M, คันเกียร์ M DCT, คาร์บอนไฟเบอร์แท้ประดับแผงหน้าปัด, แผงประตูอัลคันทาร่า หน้าจอและปุ่มควบคุมระบบ iDrive และลำโพง Harman Kardon แล้ว มันก็ไม่มีลูกเล่นอะไรพิเศษอีก แต่ผมถามจริงๆ เถอะว่ามันจำเป็นหรือสำหรับรถอย่าง BMW M2?

นอกจากอุปกรณ์พวกนี้แล้ว มันก็ไม่มีลูกเล่นอะไรพิเศษอีก แต่ถามจริงเถอะ
มันจำเป็นหรือ สำหรับรถอย่าง BMW M2?

พวกคุณเห็นไหมล่ะครับว่านี่ล่ะคือต้นตอของปัญหา ความคาดหวังต่างๆ นานาว่ารถ M จะต้องมีอุปกรณ์มากมาย จะต้องมีปุ่มตั้งค่าพวงมาลัย เครื่อง ช่วงล่างแยกกันอิสระได้อย่างละยี่สิบห้าแบบ (ล้อเล่น) ตั้งค่าระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวได้อย่างซับซ้อน มันรังแต่จะยิ่งทำให้รถตัวแรงตระกูล M ตีตัวออกห่างคนส่วนใหญ่ไปเรื่อยๆ สำหรับผมแล้วเท่าที่ M2 มีนี่ล่ะเพียงพอแล้ว มันคือ Driver’s Car ของแท้ และคุณควรจะใช้เวลาไปกับการซึมซาบความรู้สึกทุกอย่างที่รถส่งผ่านขึ้นมาหาคุณ กับสมรรถนะการขับขี่แบบดุโหดราวกับลูกเสือวัยทะโมนที่กำลังไล่ตะครุบเหยื่อ ซะมากกว่าการใช้เวลามานั่งหมุนปุ่ม iDrive เพื่อเล่นกับฟังก์ชันติดรถ ถ้าจะให้ติก็คงมีอยู่เรื่องเดียวคือใส่ปุ่ม M บนพวงมาลัยมาให้สักหน่อยเถอะ เวลาที่ต้องการซิ่งขึ้นมาแบบฉุกเฉิน เช่น ตอนถูก AMG ท้าดวลจะได้จิ้มปุ่มเดียวแล้วซัดเลย แทนที่จะต้องควานมือไปหาปุ่มกดไล่ลำดับจาก Comfort -> Sport -> Sport+

(จากซ้ายบนตามเข็มนาฬิกา) เบาะสปอร์ตด้ายฟ้า Polar Blue พร้อมสัญลักษณ์ M ทุกที่นั่ง, ลำโพง Harman Kardon, กาบบันไดสแตนเลส M, พวงมาลัย M ทรงสปอร์ต, คาร์บอนไฟเบอร์แท้ประดับคอนโซล และอัลคันทาร่าบนแผงประตู นี่มัน Driver Car นะ…ยังต้องการอะไรมากกว่านี้อีกหรือ?

TOO SIMPLE CAN BE JUST RIGHT

ความเรียบง่ายนี่ล่ะที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้ขับก็หลงรักกันหมดทุกราย BMW M2 ทำให้ผมซึมทราบว่าความพิเศษที่แท้จริงของ M นั้นมันงดงามขนาดไหน มันทำให้นึกถึง E30 M3 ต้นกำเนิดรถ M เวอร์ชันถนนที่สืบสานต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีที่มาที่ไปคล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ BMW Motorsport Division (ชื่อเรียกในสมัยนั้น) นำชิ้นส่วนที่มีอยู่แล้วมายำรวมกันและพัฒนาจนออกมาเป็น E30 M3 เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ของมันเป็นการนำเครื่องสี่สูบ 2.0 ลิตร ที่วางขายอยู่มาขยายความจุ ส่วนหัวลูกสูบก็นำดีไซน์จาก BMW M1 มาใช้ และยังทำให้นึกถึงรุ่นพี่ตรงสายเลือดของมันอย่าง BMW 1M ที่ถูกหลายคนเรียกว่า “Parts Bin Party” เพราะใช้เครื่องยนต์จาก Z4 sDrive35i กระจกส่องข้าง แชสซีส์ และชิ้นส่วนช่วงล่างจาก BMW M3 มันเป็นสูตรที่ฟังดูแล้วไม่น่าเวิร์ค แต่กลับได้ผลดีอย่างเหลือเชื่อ ต้องยอมรับความสามารถของวิศวกรชาว M จริงๆ

BMW 1 Series M Coupe and BMW M3 Sport Evolution. (12/2010)

BMW นำสูตรลับแบบเดิมมาใช้กับ M2 อีกรอบ เครื่องยนต์เบนซินหกสูบแถวเรียง 3.0 ลิตร M TwinPower Turbo รหัส N55B30TO ของมันเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องยนต์ N54B30TO ที่อยู่ใน 1M แต่ถูกลดจำนวนเทอร์โบเหลือเพียงลูกเดียว อย่างไรก็ตาม มันกลับมีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 370 แรงม้า เครื่องยนต์ได้รับอานิสงค์ชิ้นส่วนสมรรถนะสูง เช่น ลูกสูบ แหวนสูบ กระบอกสูบที่ทำมาจากเหล็ก Grey-cast และประกับลูกปืนเพลาข้อเหวี่ยงมาจาก BMW M3 และ BMW M4 เช่นเดียวกับชุดแพช่วงล่างหน้าและหลังอะลูมิเนียมที่มาจาก BMW M3 และ BMW M4

เครื่องยนต์หกสูบเรียง 3.0 ลิตร M TwinPower Turbo รหัส N55B30T0 370 แรงม้า 465 นิวตันเมตร

Bimmer DRIVE

ได้เวลาไปสนุกกันแล้วครับ ผมผลักคันเกียร์ M DCT มาทางขวาเพื่อเข้าเกียร์ D หน้าจอโชว์อักษร “D1” นั่นหมายความว่าเกียร์อยู่ในโหมดอัตโนมัติที่จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงให้เอง สิ่งที่เกียร์ของ BMW M2 แตกต่างจากเกียร์ BMW ทั่วไปก็คือ รถจะไม่เคลื่อนที่ในตอนแรกที่ถอนเท้าออกจากเบรก เหมือนกับพวกเกียร์ Selespeed ใน Alfa Romeo 156 นั่นหมายความว่าถ้าคุณออกตัวบนทางลาดชัน รถไหลนะครับ แต่หลังจากแตะคันเร่งให้คลัทช์ทำงานแล้วหนึ่งครั้ง ระบบ “Creep On Demand” ของรถจะทำงานเพื่อให้สามารถเลียเบรกให้รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ได้แบบรถเกียร์อัตโนมัติทั่วไป ซึ่งทำให้การขยับรถในที่แคบๆ อย่างที่จอดรถสะดวกมากขึ้น

BMW M2 คือรถแข่งที่ทำตัวน่ารักจุ๋มจิ๋มให้คนรอบข้างตายใจชัดๆ

A nice place to be. แม้จะโดนติว่าลูกเล่นภายในมีไม่มากนัก แต่ตำแหน่งการขับกับแผงคอนโซลกลางที่เอียงเข้าหาตัวคนขับ ยังทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งเมื่อได้มาอยู่หลังมาลัย

แต่ถึงจะมีระบบ Creep On Demand การขับ BMW M2 ฝ่าเข้าไปในดงรถติดกลางเมืองก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคุ้นเคยกันไม่น้อย และถ้ารถติดกับขยับทีละนิดอยู่บ่อยๆ ก็อาจทำให้คุณหัวเสียได้บ้าง เพราะคุณต้อง Tip คันเร่งนิดนึงเพื่อให้คลัทช์ทำงาน ปัญหาก็คือถ้าคันหน้าขยับห่างออกไปไม่ไกลมาก มันจะทิ้งให้คุณเผชิญอยู่กับสองทางเลือก คือ อยู่เฉยๆ แล้วภาวนาไม่ให้คันหลังกดแตรไล่ กับแตะคันเร่งแล้วหวังว่ามันจะไม่กระโจนไปจูบท้ายคันหน้า โดยส่วนตัวผมมองว่ามันเพิ่มขั้นตอนและลดความสะดวกลงเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเป็นปัญหา ส่วนตาอู๋ที่อาสาไปรับรถคันนี้ออกมาจากสำนักงานใหญ่ BMW ย่านวิทยุ ดูจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ และคงอยากจะเรียกมันว่า Creepy On Demand มากกว่า…

ผมคงต้องขอพูดถึงวิธีการใช้งานเกียร์ M DCT with Drive Logic ของ BMW M2 สักหน่อย เพราะมันไม่เหมือนกับรถ BMW ทั่วๆ ไป อย่างแรกคือมันไม่มีเกียร์ P แม้ว่าตอนติดเครื่องขึ้นมาครั้งแรกจะขึ้นคำว่า “P” บนหน้าปัดก็ตาม คุณโยกคันเกียร์มาทางขวาเพื่อเข้าเกียร์ D ในโหมดอัตโนมัติ และถ้าโยกขวาซ้ำอีกทีหรือกระดิกก้านแพดเดิลชิฟท์บนพวงมาลัย มันก็จะกลายเป็นโหมด Manual ที่ต้องสับเกียร์เอง การปลดเกียร์ว่างใช้การโยกไปทางซ้าย และถ้าจะถอยหลังก็โยกซ้ายแล้วขึ้นตามแผนผังที่แสดงอยู่บนหัวเกียร์

คันเกียร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโตโยต้า พรีอุส…ล้อเล่น เกียร์ M DCT with Drive Logic ต้องทำความเข้าใจกันบ้างในครั้งแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน

เราเดินทางออกจากจุดพักรถบนมอเตอร์เวย์โดยมีปลายทางเป็นสนามพีระเซอร์กิต ผมกดคันเร่งลงไปครึ่งนึง เกียร์สับลงเป็นเกียร์ 2 โดยไร้อาการสะดุดใดๆ ตามแบบฉบับของเกียร์ระบบคลัทช์คู่ รอบกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมแรงดันจากเบาะที่กดเข้ากลางหลังผมหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงเครื่องหกสูบเทอร์โบบรรเลงออกมาอย่างหนักแน่นและทุ้มคำรามเกินกว่าที่ขนาดตัวรถไซส์มินิของมันบ่งบอก แรงดึงที่ดูจะมากเกินความต้องการทำให้มือผมเผลอไปตบก้านแพดเดิลชิฟท์ฝั่งขวาอย่างไม่รู้ตัว เกียร์ M DCT จึงสับขึ้นเกียร์ 3 และปรับเข้าสู่โหมด Manual ทันที เพียงระยะเวลาไม่ถึง 15 นาที หลังออกจากจุดพักรถมา ผมก็รู้แล้วว่า BMW M2 ไม่ใช่รถเครื่องแรงธรรมดา แต่นี่คือรถแข่งที่ทำตัวน่ารักจุ๋มจิ๋มให้คนรอบข้างตายใจชัดๆ เชื่อเถอะครับว่าถ้าไม่ใช่คนที่รู้เรื่องรถหรือสาวกค่ายใบพัดฟ้าขาว เจ้านี่มันก็คือ ซีรีส์ 2 คูเป้ สีฟ้า Long Beach Blue คันนึงเท่านั้น

ช่วงล่าง BMW M2 เวลาอยู่บนถนนไฮเวย์และใช้ความเร็วสูง แข็งครับ แต่ไม่ขนาดจะทำให้กระดูกสันหลังคุณแตกเป็นเสี่ยงๆ แบบรถใส่ช็อคอัพแต่ง มันส่งผ่านทุกรอยต่อและความไม่สมบูรณ์แบบของพื้นถนนขึ้นมาให้คนขับรู้สึกผ่านทางเบาะรองนั่ง พื้นรถ และพวงมาลัย เราจึงรู้สึกว่าระยะห่างของคนขับกับตัวรถใกล้กันขึ้นอีกนิด เพราะทุกสิ่งที่ BMW M2 รู้สึก คนขับก็รู้สึกด้วย ผมคิดว่าวิศวกรของ M เข้าใจเรื่องการเซ็ทอัพช่วงล่างอย่างถ่องแท้ เพราะในขณะที่มันแข็ง แต่มันกลับไม่ทำให้รู้สึกกระด้างหรือกระเด้งจนทนไม่ไหว ดังนั้น การขับ BMW M2 ออกต่างจังหวัดบนทางยาวๆ จึงเป็นเรื่องสนุกแทนน่าเหนื่อยหน่าย ผมคิดว่านี่คือรถที่ทำมาเพื่อ Track Day แท้ๆ ไม่กี่รุ่นที่มีขายอยู่ในเมืองไทยในตอนนี้

พวงมาลัยไฟฟ้าของ BMW M2 ที่หลายคนกังวลว่ามันจะทำให้จุดเด่นของรถตระกูล M หายไปหรือไม่ ผมสามารถยืนยันให้ตรงนี้ได้เลยครับว่า สบายใจได้ น้ำหนักตอนวิ่งทางตรงยอดเยี่ยมมาก ยิ่งเร็วยิ่งหนักและนิ่งจนราวกับล้อหน้าถูกบังคับให้วิ่งอยู่ในราง แต่มันก็กลับคมและไวมากด้วย ระยะฟรีจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ยังได้ ถ้าคุณเคยขับรถที่ใส่ช่วงล่างแข็งๆ มา คุณจะรู้ดีว่าโอกาสที่พวงมาลัยจะดีดดิ้นไปตามพื้นผิวขรุขระของถนนนั้นมีมากกว่ารถที่ช่วงล่างนุ่มนวล แต่ใน BMW M2 มันไม่มีอาการเช่นนั้น

ในโหมด Sport แผ่น Flap ในท่อไอเสียจะเปิดออกให้เสียงคำรามดังขึ้นอีกนิด พวงมาลัยหนักและคมขึ้น และเกียร์จะเริ่มออกอาการกระตือรือร้นมากขึ้น เวลาที่เราลากรอบมาแล้วต้องยกคันเร่งเพราะมีรถเปลี่ยนเลนออกมาขวางหน้า รถจะรู้ใจและคาเกียร์กับรอบไว้อย่างนั้น เพื่อที่ว่าเวลาอุปสรรคด้านหน้าหลบฉากไป เราจะสามารถ “ต้าบ” คันเร่งแล้วทะยานต่อไปได้โดยไม่ต้องรีรอ ก้านแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัยที่ขนาดเล็กและเรียวกว่าใบพายใน BMW รุ่นอื่นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกับที่อยู่ในรถสปอร์ตราคาแพง และมีน้ำหนักกับจังหวะคลิกที่สมบูรณ์แบบ

M Dynamic Mode ทำให้คุณขับได้อย่างมือโปร แต่ไม่ปล่อยให้คุณเกิดอุบัติเหตุ

ผมใช้โหมด Sport เป็นหลักในสนาม เพราะนี่เป็นรถรุ่นพิเศษและมันเพิ่งผ่านมือนักข่าวมาไม่กี่คนเท่านั้น ถ้าเกิดพลาดอะไรขึ้นมาเกรงว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณได้เห็นเว็บ Bimmer-th.com แต่จะว่าไปแล้วคุณจะใช้โหมด Sport+ ก็ยังได้ เพราะรถมี M Dynamic Mode (MDM) ที่ทำให้คุณขับได้อย่างมือโปรโดยไม่ปล่อยให้คุณเกิดอุบัติเหตุ เวลาที่ล้อเกิดการลื่นไถล มันจะเข้ามาปราม DSC ว่า “ใจเย็นก่อนน่า” จนกระทั่งถึงจุดที่ล้อหมุนฟรีเร็วเกินไปแล้วจึงปล่อยให้ DSC ทำงานในระดับที่เบาบางกว่าปกติ ผลก็คือคุณสามารถกดคันเร่งแช่ในโค้งแล้วคุมพวงมาลัยเพื่อทำดริฟท์เท่ๆ ได้นั่นเอง

แม้กระทั่งในโหมด Sport และเข้าเกียร์แบบ Manual BMW M2 ก็ออกอาการระริกระรี้ในตอนที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามแล้ว (หรือมันจะเป็นแจ๊ครัสเซลล์จริง?) มันกระโจนพรวดออกตัวไปพร้อมแรงถีบเข้าเต็มหลัง เบรกหน่วงความเร็วได้ดีและไม่มีอาการเฟดแม้จะมีกลิ่นไหม้คลุ้งหลังจากขับมานับสิบๆ รอบ เราจึงสามารถเบรกแต่ละโค้งได้ “ลึก” กว่าเดิม การหักเลี้ยวเข้าโค้งไม่มีอาการอันเดอร์สเตียร์หรือหน้าดื้อโค้งให้สัมผัส แต่ทุกครั้งที่เท้าเข้าใกล้คันเร่งในโค้ง ไฟระบบ DSC จะกระพริบขึ้นมาบนหน้าปัดอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตอนที่ตัวรถเริ่มตั้งตรงแล้วกดคันเร่งสวนลงไปเต็มๆ ก็ยังอุตส่าห์มีไฟกระพริบขึ้นมา นี่แสดงว่าถ้าไม่มี DSC ช่วยดึงรถเอาไว้ ล้อจะต้องออกอาการฟรีและทำให้ท้ายรถไวมากแน่ๆ

ผมกลับออกจากสนามด้วยความรู้สึกอิ่มเอมกับหัวใจที่พองโต เพราะได้รู้แล้วว่ารสชาติของรถตระกูล M จากโรงงานนั้นมันเป็นเช่นไร และได้รู้ว่าภายใต้คำปรามาสที่บอกว่า BMW M2 ไม่ใช่ M แท้ที่ใช้เครื่องยนต์รหัส S และมีฝาครอบเครื่องเขียนว่า M Power (BMW M2 เขียนว่า Powered by M) นั้น มันก็ยังสามารถทำทุกอย่างได้ดี “เกินคาด” ไม่ว่าจะตอนอยู่บนถนนหรือในสนาม ผมคิดว่านี่คือหนึ่งใน BMW M ที่เชื่อมความรู้สึกของรถเข้ากับคนขับได้ดีที่สุด และทำให้คนทั่วไปอย่างคุณกับผมก็สามารถเข้าถึงและสนุกกับมันได้ ต่อให้มันไม่มีปุ่ม M บนพวงมาลัย ไม่มีกระจกมองข้างทรงแบบ Winglet ของปีกเครื่องบิน ไม่มีเบาะ Bucket Seat หรือจะถูกใครเรียกมันว่าเป็น “Parts Bin Party Episode 2” ผมก็ไม่ได้แคร์เลยสักนิด

มันคือนักสู้ตัวจริงที่ไม่เคยปล่อยให้ขนาดตัวหรือจุดกำเนิดมาเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ

อันที่จริงแล้วผมรักรถคันนี้มาก มันคือนักสู้ตัวจริงที่ไม่เคยปล่อยให้ขนาดตัวหรือจุดกำเนิดมาเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ มันเกิดมาเป็นรถคันเล็กและก้าวออกมาสู่โลกภายนอกพร้อมกับคำสบประมาทรอบด้าน มันถือกำเนิดจากชิ้นส่วนเหลือใช้ของรุ่นพี่ และชีวิตของมันไม่เคยมีคำว่าสมบูรณ์แบบอยู่ในแผน แต่กระนั้นมันก็ไม่เคยโวยวายเพื่อขอความเห็นใจและแก้ไขคำดูถูกพวกนั้น ตรงกันข้าม..มันเลือกที่จะมุ่งมั่นทำในสิ่งที่มันเกิดมาให้ดีที่สุด และวันนี้มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันสามารถทำลายข้อครหาพวกนั้นลงได้อย่างราบคาบด้วยคุณงามความดีในตัวของมันเอง

ก็ไม่ใช่ M แท้แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า เพราะทุกครั้งที่คุณขับ มันทำให้คุณได้รู้สึกใกล้ชิดกับจิตวิญญาณของ E30 M3 รถที่ให้กำเนิด BMW M ทั้งหมู่มวลอยู่ตลอดเวลา

พบกันใหม่ในรีวิวฉบับหน้าครับ

M2 กำลังไล่ต้อนฝูง Forklift กลับเข้าโกดัง..นี่ก็ล้อเล่น

ความคิดเห็นส่งท้ายจากทีมงาน Bimmer-th

Pan Paitoonpong

นี่คือ 1 ในรถที่ผมชอบที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะที่หลายคนมองว่า M4 เป็นฮีโร่ของ BMW ผมกลับรู้สึกว่า M2 นี่ล่ะคือความสนุกที่สัมผัสได้จริงในราคาที่คุ้มค่ากว่า คุณประหยัดไปสองล้านแต่ความสุขในการขับหายไปแค่สามแสน

มันไม่แรงเท่า M4 ก็จริง แต่ให้อารมณ์ที่ดุเกือบเหมือนกัน เครื่องยนต์มีสุ้มเสียงที่ดุดันแบบจริงใจไม่สังเคราะห์ M2 เป็นรถที่เห่าดังเท่าไหร่ เขี้ยวยิ่งกัดเจ็บกว่า ตอกคันเร่งเมื่อไหร่หลังติดเบาะทันที เกียร์ทำงานไวตามสั่ง ขับในเมืองก็ไม่ได้ยากหรือน่ารำคาญอย่างที่คิด

จุดที่ผมชอบมากคือการเซ็ตช่วงล่างในสเป็คมาตรฐานทำมาได้ดีมาก วิ่งบนสนามแข่งก็สนุก มั่นใจ สะใจ แต่ขับกลับบ้านก็สบาย วิ่งมอเตอร์เวย์แบบนิ่งหนึบสมกับเป็นรถเยอรมันสมรรถนะสูง

ห้องโดยสารอาจจะดิบและขาดของเล่น แต่ช่างมันเถอะเพราะรถแบบนี้คุณซื้อมาเอ็นจอยกับการขับ ถ้าเอามูนรูฟออกแล้วราคาถูกลงได้อีก รถเบาลงได้อีกผมจะยิ่งชอบด้วยซ้ำ

สิ่งเดียวที่ยังไม่น่ารักคือราคา ซึ่งมีคู่แข่งที่แรงพอกันแต่ถูกกว่าเป็นล้านบาทอยู่ แต่เพียงคุณได้สัมผัสของจริง คุณอาจรู้สึกเหมือนผมว่าล้านบาทตรงนั้นก็คุ้มที่จะเสีย นี่คือ 1 ในรถที่ผมชอบที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย

Thitipat Hiranbavorntip

หัวใจหลักของรถคันนี้คือการอยู่หลังพวงมาลัยแล้วขับมันไปดั่งใจคิด

ผมจะเขียนอย่างไรให้คุณผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกผมหลังจากอยู่หลังพวงมาลัยรถคันนี้ดี?

หากจะพูดว่า BMW M2 เป็นรถที่ดูน่าเบื่อมากสำหรับสายตาของผู้โดยสารก็คงไม่ผิด เพราะภายในของรถนั้น คุณจะไม่ได้ค้นพบโลกใหม่ที่รู้สึกวิเศษเหนือชั้นยานยนต์อะไร

แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณได้เป็นคนขับแล้วเอามือทั้งสองข้างจับลงที่พวงมาลัย พร้อมกับกดปุ่ม Sport และตอกคันเร่งลงไป ค่อยๆ ฟังเสียงคำรามของเครื่องยนต์ 6 สูบ ที่เปล่งเสียงออกมาจากท่อไอเสียทั้ง 4 แบบดุดัน กับสัมผัสแรง G ของรถดึงตัวคุณติดเบาะอย่างฉับไวชนิดที่คุณแทบตั้งตัวไม่ทัน

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คุณจะไม่สามารถมองเห็นหริือตัดสินได้จากการแค่นั่งอยู่ในรถหรืออ่านจากโบรชัวร์ มันเป็นรถที่คุณไม่จำเป็นต้องมีของเล่นอะไรมากมายเพื่อให้ถ่ายรูปสวย เพราะหัวใจหลักของรถคันนี้คือการอยู่หลังพวงมาลัยแล้วขับมันไปดั่งใจคิด แค่​นี้ก็​เพียงพอแล้วจริงๆ ครับ

อู๋ Spin9

ผมสบประมาท BMW M2 เอาไว้ตั้งแต่แรก ว่ามันเป็นเพียงแค่ Baby M เท่านั้นแหละ แต่พอได้ใช้งานและวิ่งในสนามทดสอบจริงๆ ก็พบว่า ไม่ใช่แล้ว

ผมได้ทดลองใช้งาน BMW M2 แทนรถส่วนตัวที่ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่หลายวัน ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ได้เด่นสะดุดตาจนกลายเป็นซูเปอร์คาร์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในรถก็มีมาให้อย่างครบถ้วน เบาะที่นั่งปรับไฟฟ้า แอร์ เครื่องเสียง บลูทูธ ระบบนำทาง เซ็นเซอร์ถอยจอด บวกกับความสูงของตัวรถก็ไม่ได้เตี้ยผิดปกติ ทำให้มันมาใช้งานเป็นรถยนต์คันหลักได้อย่างไม่ต้องสงสัย และนี่คือความตั้งใจของ M Car มาตรฐานตามแบบฉบับของ BMW ให้มันเป็นรถที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ .. และได้แบบโคตรแรงเกินขนาดตัวถังไปอย่างมหาศาล

M2 แรงขนาดไหน? จากหยุดนิ่ง ในโหมด SPORT หากกระแทกคันเร่งลงไปจนสุด ท้ายรถออกอาการพยายามจะดิ้นไปเลนข้างๆ ให้ได้ เข็มวัดรอบกวาดไปจนเกือบสุด ชิฟต์ขึ้นเกียร์สอง พร้อมเสียงล้อที่ทิ้งฟรีและกระชากพุ่งตัวอย่างต่อเนื่อง ไฟ DTC กระพริบแทบทุกจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ น่าจะเป็นอาการที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าใต้ฝากระโปรงรถยนต์คันเล็กๆ คันนี้ มันคือขุมพลังสุดโหด แต่ได้เก็บซ่อนเอาไว้ใช้ในยามที่คนขับต้องการมันเท่านั้น การขับขี่ในเมืองในโหมดปกตินั้น ยากจะจินตนาการได้ชัด ว่ารถคันนี้แรงขนาดไหนกันแน่

ผมสบประมาท BMW M2 เอาไว้ตั้งแต่แรก ว่ามันเป็นเพียงแค่ Baby M เท่านั้นแหละ แต่พอได้ใช้งานจริงๆ และได้วิ่งในสนามทดสอบจริงๆ ก็พบว่า ไม่ใช่แล้ว นี่เป็น BMW M ที่มีขนาดตัวถังเล็กลงมาเท่านั้น แม้ว่าโหมดการปรับแต่งจะมีไม่มากเท่ากับ M3 หรือ M4 แต่ความสนุกที่ได้จากรถเล็ก กำลังแรงคันนี้ มันคือสายพันธุ์ M อย่างแท้จริง และใครได้พบเจอบนทางด่วน ก็อย่าได้ไปลองดีกับมันโดยเด็ดขาด ผมเตือนแล้วนะ

ขอขอบคุณ:
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

The following two tabs change content below.
มนุษย์เงินเดือนผู้คลั่งไคล้ในรถยนต์สมรรถนะยอดเยี่ยม นักแข่งรถสมัครเล่นที่มักจะพบเห็นวิ่งดมฝุ่นอยู่ท้ายสนาม คุณพ่อของลูกสาวที่น่ารัก และหนึ่งในทีมงาน Bimmer-th.com

Comments

comments