BMW Thailand จัดมาแล้ว! M4 DTM Champion Edition ตำนานที่ผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียว!

วันที่ 1 กันยายน 2017 ทาง BMW Thailand ได้จัดงานแถลงข่าวความคืบหน้าของการจัดงาน BMW xPo 2017 ซึ่งจะมีการเปิดตัวรถที่น่าสนใจพร้อมแคมเปญพิเศษอีกหลายรายการ นอกเหนือจากซีรีส์ 7 ประกอบในประเทศไลน์ใหม่อย่าง 730Ld Pure Excellence และ 740Le Pure Excellence แล้ว อีกสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าก็คือการประกาศนำ BMW M4 DTM Champion Edition มาจำหน่าย โดยประเทศไทยจะได้โควต้าทั้งสิ้นเพียงคันเดียวเท่านั้น ราคาจำหน่ายพร้อม BSI แพ็คเกจ Standard อยู่ที่ 13,939,000 บาท (ยืนยันแล้วจากทาง BMW Thailand) ใครอยากดูตัวจริง มาพบได้ที่งาน BMW Xpo 2017 ที่ศูนย์การสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในวันที่ 7-10 กันยายน 2560

BMW M4 DTM Champion Edition เผยโฉมครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 2016 (ประมาณ 1 ปีหลังเปิดตัว M4 GTS) เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระพิเศษที่ Marco Wittmann ได้แชมป์ DTM ปี 2016 จากการชนะที่ Hockenheimring โดยถ้าหากวัดจากพละกำลังและรูปแบบของตัวรถ ก็นับได้ว่ามันคือ M4 ตัวแรงที่มาทำตลาดแทน M4 GTS นั่นเอง เพราะเป็นรถที่เน้นการขับในสนามแข่ง ปรับจูนทุกองค์ประกอบมาเพื่อความโหดและไม่สนใจเรื่องความหรูหรือสบาย

แต่ในขณะที่ GTS มีการผลิตจำกัด 700 คัน DTM Champion Edition จะยิ่งมีจำนวนน้อยกว่า เพราะทำออกมาเพียงแค่ 200 คันเท่านั้น

ภายนอกของ M4 DTM Champion Edition จะมีเพียงสีเดียวคือ Alpine White คาดสติกเกอร์ 3 สีของ M ซึ่งเป็นการนำแบบอย่างมาจากรถแข่ง DTM ของทีม BMW Motorsport และยังมีการปรับปรุงเรื่องอากาศพลศาสตร์เพิ่มเติม พร้อมทั้งเอาคาร์บอนมาบรรเลงหุ้มหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นลิ้นหน้า กระจกส่องข้าง สเกิร์ตข้าง ดิฟฟิวเซอร์หลังกับหางหลังขนาดใหญ่ ซึ่งของตกแต่งทั้งหมดนี้มีหน้าที่ใช้งานจริง ดูสวยแบบงานละเอียด แต่โหด ดิบ สไตล์รถแข่ง

บอดี้รถหลักทำมาจากเหล็กแบบรถปกติ แต่มีบางส่วนเช่นฝากระโปรงหน้า หลังคา เบ้าหน้าปัด และดิฟฟิวเซอร์หลังนั้นจะทำมาจาก CFRP-Carbon Fiber Reinforced Plastic เพิ่มความดุด้วยท่อไอเสียสปอร์ตแบบ Double-flow แบ่งออกข้างละสองท่อ เป็นท่อแต่งทำจากวัสดุไทเทเนียมที่ทำให้เซฟน้ำหนักได้มากกว่าท่อไอเสียของ M4 รุ่นปกติถึง 20%

ช่วงล่างที่ใช้เป็นแบบ M Coilover สเป็คสำหรับแข่งในสนามได้ทันที ซึ่งคนขับสามารถสั่งให้ทีมงานของตัวเองปรับความหนืดของโช้คอัพได้ทั้งจังหวะยุบตัว 12 ระดับ และยืดตัว 16 ระดับ (แยกกัน) อีกทั้งยังสามารถปรับความสูงของช่วงล่างหน้า/หลังได้ตามใจชอบ แต่ต้องลงไปขันเองแบบรถแข่งแท้ๆ ไม่ใช่กดปุ่มแล้วนั่งดูดโอเลี้ยงรอแข่งอยู่ในรถ นอกจากนี้ก็ยังได้เหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับงานหนักอีกด้วย

ล้อของ DTM Champion Edition เป็นแบบ M Star Spoke 666M พ่นสี Orbit Grey แบบด้าน ห่อหุ้มด้วยยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 ด้านหน้าขนาด 265/35 R19 ส่วนด้านหลังขนาด 285/30 R20 สำหรับระบบเบรกก็แน่นอนว่าถ้ารถแพงแบบนี้ให้จานเหล็กธรรมดาลูกค้าคงตำหนิ ดังนั้นจึงใส่เบรก M Carbon-ceramic มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ภายในของ M4 DTM Champion Edition นั้นจะเน้นความเป็นรถแข่งสายมอเตอร์สปอร์ตมากกว่า M4 รุ่นใดๆ แน่นอนว่าเบาะหลังถูกถอดออก เหลือเพียงแค่ 2 ที่นั่งหน้า ซึ่งจะเป็นเบาะ M Carbon bucket seat หุ้มด้วยหนัง Merino สลับ Alcantara ซึ่งอย่างหลังนี้ นอกจากจะใช้หุ้มเบาะแล้ว ยังใช้เพื่อการตกแต่งภายในส่วนต่างๆเพิ่มเติม มีพวงมาลัย M Sports มีแถบมาร์กที่ด้านบนของพวงมาลัย และเพื่อความปลอดภัยกรณีคว่ำในสนาม จึงมีการติดตั้งโรลเคจมาสีขาวมาให้ด้วย (นี่คือเหตุผลที่ต้องถอดเบาะหลังออก)

 
เครื่องยนต์ของ M4 DTM Champion Edition เป็นบล็อค S55B30A ที่มีระบบฉีดน้ำเข้าเครื่องเป็นละอองฝอยขนาดเล็ก (Water Injection) แบบเดียวกัน ทำให้ได้แรงม้าสูงสุดถึง 500PS กับแรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร ซึ่งเทียบกับ M4 ธรรมดาแล้ว เท่ากับว่าได้ม้าเพิ่มขึ้น 69 แรงม้า และแรงบิดเพิ่มขึ้นอีก 50 นิวตัน-เมตรเลยทีเดียว บางคนอาจสงสัยว่าฉีดน้ำเข้าเครื่องแล้วเครื่องยนต์ไม่พังหรือ?
คำตอบคือ ถ้าโยนน้ำโครมใส่ลงไป มันก็พัง แต่ระบบ Water Injection นี้จะฉีดน้ำเป็นฝอยละเอียดมาก เข้าไปผสมกับไอดี ผลที่ได้ก็คืออุณหภูมิไอดีที่ต่ำลง (ผลที่ได้คล้ายกับอินเตอร์คูลเลอร์ แต่ทำด้วยวิธีการใช้น้ำลดความร้อนไอดีโดยตรง ในขณะที่อินเตอร์คูลเลอร์น้ำของ M4 จะให้น้ำไหลผ่านแกนระบายความร้อน แล้วเอาน้ำนั้นไปไหลผ่านแกนเพื่อเอาความร้อนออกมา) นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับวงการรถซิ่ง Aquamist ทำระบบแบบนี้ขายมานานกว่าทศวรรษแล้ว แต่ยังไม่มีบริษัทรถไหนเอามาติดตั้งในรถผลิตจากโรงงาน โดย M4 GTS เป็นคันแรก
เมื่อน้ำช่วยทำให้ไอดีเย็นลง อากาศที่เข้าห้องเผาไหม้ร้อนน้อยลง โอกาสเกิดการชิงจุดระเบิดโดยไม่ได้ตั้งใจที่เกิดจากความร้อนสูงก็น้อยลง ทำให้สามารถอัดบูสท์เทอร์โบและปรับไฟองศาจุดระเบิดเพิ่มได้ นี่คือที่มาของพลังม้าที่เพิ่มขึ้น
BMW เคลมว่า M4 DTM Champion Edition สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 3.8 วินาที และยอมความเร็วสูงสุดให้ไหลได้ยาวๆถึง 305 กิโลเมตร/ชั่วโมงก่อนค่อยล็อค โดยที่ปล่อย CO2 แค่ 189 กรัม/กิโลเมตร (ตามสเป็คที่แจ้งกับกรมสรรพสามิตไทย)
ใครที่พลาดหวังจาก M4 GTS เมื่อปีก่อนๆ คราวนี้ มีบ้านก็ขายบ้าน มีรถก็ขายรถ ถ้าอยากเป็นเจ้าของ BMW Limited Edition ซึ่งมีเพียงคันเดียวเท่านั้นในไทย และ 200 คันเท่านั้นในโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าคุณรักษาสภาพดีๆของรถเอาไว้ได้อีก 30-40 ปีข้างหน้า ราคาซื้อขายเปลี่ยนมือย่อมพุ่งไปไกลกว่า 14 ล้านบาทอย่างแน่นอน
แต่ถ้ามัวแต่รักษารถ..ก็ไม่ได้ใช้รถอย่างที่ผู้ผลิตมีความตั้งใจทำมาให้อัดรถให้สนุก ให้ถึงขีดจำกัดน่ะสิ..เรื่องนี้ต้องให้เจ้าของเงินเป็นผู้ตอบครับ

 

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments