รีวิว BMW Z4 M40i: โหด คม หวาน ปานมีดโกนชุบนูเทลล่า

ในชีวิตของคนทดสอบรถสักคน จะมีรถสักกี่คันที่เราอยากจะหวนไปขับอีกหลายรอบ?

แต่ไหนแต่ไรมา ผู้คนที่ติดตามอ่านบทความจากผมทราบกันดีว่ามี BMW หลายรุ่นที่ผมโปรดปราน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันน่าจะมีมากกว่า 20 รุ่น อย่างไรก็ตาม หากผมสามารถเลือกกุญแจรถหนึ่งคันจากฝูงรถทดสอบของ BMW แล้วขับไปที่ไหนก็ได้สัก 5-6 วัน ตัวเลือกของผมจะเป็น M2 เว้นเสียแต่ว่าช่วงนั้นน้ำท่วมบ่อยจึงจะเปลี่ยนเป็น X3 หรือ X5

ผมศรัทธาในสิ่งที่ M2 มีให้ต่อผู้ขับ มันเป็นรถสมรรถนะสูงที่มีรากฐานมาจาก 218i/220i Coupe รุ่นเดียวกับที่คุณแม่ของเพื่อนของน้องสาวคุณขับไปช้อปปิ้งตามห้างหรูนั่นล่ะ ดังนั้นข้อดีของมันก็คือความง่ายในการลุกเข้าออก มีเนื้อที่วางของหลังเบาะ เอนเบาะนอนรอสุดที่รักบนลานจอดที่สุวรรณภูมิได้ แต่ทันทีที่หวดคันเร่ง M2 จะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่ามันคือหน่วยพิฆาต SMERCH ที่แอบปลอมตัวเป็นบริกร โหด เร็ว แรง สะใจ! นี่คือรถสมรรถนะสูงแบบที่ผมต้องการมาตลอดชีวิต รถที่เรานั่งแล้วไม่รู้สึกคับแคบ มีมาตรวัดและแผงควบคุมที่เข้าใจง่าย ให้การควบคุมตามที่มือและเท้าจะสั่ง พยศได้ เชื่องได้ ขึ้นอยู่กับความบ้าของคนขับ

ดังนั้นเมื่อคุณอู๋ spin9 ยื่นกุญแจ Z4 M40i ให้ผมลองขับแล้วบอกว่า “ผมชอบคันนี้มากกว่า M2 LCI ว่ะพี่” ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจึงค่อนข้างคล้ายกับการที่ผมชื่นชอบสมาชิกในวง BNK48 สักคน แล้วมีใครมาบอกว่า ชอบสมาชิกคนนั้นน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง มันไม่ได้ถึงกับทำให้เราหัวร้อนต้องยืนเถียงกัน แต่จะเกิดความรู้สึกว่า ทำไมเหรอ? มันเป็นไปได้อีกเหรอที่จะมีดีได้มากกว่านี้ และ Z4 เนี่ยนะ? ขับสนุกกว่า และเร็วกว่า M2?

ยิ่งเมื่อผมนึกถึงสมัยขับ Z4 โฉมที่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ Z4 เป็นรถที่ดูแหลมคม และสปอร์ต แต่ถ้าไม่ใช่รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเทอร์โบแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะเป็นรถที่เอาไว้ขับเพื่อความรื่นรมย์ส่วนตัวมากกว่า รุ่น sDrive23i หกสูบเรียงที่ BMW ไทยเอาเข้ามาขายล็อตแรกๆนั้น รื่นรมย์จริง เพราะมีเครื่องยนต์แบบไร้เทอร์โบที่ส่งเสียงกังวานหวานหูเมื่อกดเต็มเท้า แต่มันไม่ได้แรงไปกว่า 320d F30 เท่าไหร่ รุ่น sDrive20i เทอร์โบที่ตามมาภายหลัง มีความคล่องตัวขึ้น กดแล้วพุ่งดีขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ไปโมดิฟายเพิ่ม มันก็ยังไวแค่พอๆกับ 320i ไม่ต้องพูดถึงการขับขี่ที่เน้นความสบายมากกว่าความดุดันแบบรถสปอร์ต

อย่างไรก็ตาม ผมมีเวลาเหลือไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนที่จะต้องเอารถไปคืน BMW Thailand ในช่วงเวลานั้นคือ 24 ชั่วโมงที่ผมจะได้ลอง “คุย” และ “เล่น” กับสาวเยอรมันสีเทา Frozen Grey Metallic II คันนี้… ช่างจังหวะเหมาะจริงที่ผมมาเจอเธอในวันที่ฝนในกรุงเทพตกอย่างกวนประสาท ถ่ายภาพก็ถ่ายกลางฝน และพอฝนหยุดตก ดวงอาทิตย์ก็ลาลับไปแล้ว ทำให้ต้องนำเสนองานในลักษณะแบบมีดีกว่าไม่มี อย่างไรก็ตาม ทีม Bimmer-th ของเราได้มีการเก็บภาพช่วงกลางวันเอาไว้ ซึ่งเราจะมีบทความแยกที่เพียบพร้อมด้วยรูปถ่ายแบบเจาะทุกส่วนให้คุณ แยกอีกบทความหนึ่ง

ดีไซน์ภายนอก โหดขึ้น..คลีนขึ้น..กลับมาใช้หลังคาผ้าใบ

BMW Z4 M40i ใหม่ มีความยาวตัวถัง 4,324 มิลลิเมตร ความกว้างตัวถัง 1,864 มิลลิเมตร สูง 1,304 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,470 มิลลิเมตร ความกว้างแทร็คล้อหน้า/หลังเท่ากับ 1,594 และ 1,589 มิลลิเมตรตามลำดับ ในขณะที่ความสูงใต้ท้องรถเตี้ยตามแบบรถสปอร์ตแท้ๆ 114 มิลลิเมตร

หากเทียบกับรุ่นที่แล้ว Z4 ใหม่นั้นยาวกว่าเดิม 85 มิลลิเมตร กว้่างขึ้น 74 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 13 มิลลิเมตรในขณะที่ฐานล้อสั้นลง 26 มิลลิเมตร ความกว้างแทร็คล้อหน้าเพิ่มขึ้นถึง 98 มิลลิเมตร และแทร็คล้อหลังเพิ่มอีก 57 มิลลิเมตร การออกแบบประเภท ตัวรถยาว ฐานล้อสั้น แต่แทร็คกว้างนี้ ให้ลักษณะการขับขี่ที่คล่องตัวแต่ถ้าไม่ได้วิศวกรช่วงล่างที่เจ๋งจริง ก็จะกลายเป็นเครื่องจักรพยศที่ยากต่อการควบคุม

ด้วยน้ำหนักตัว 1,610 กิโลกรัม…คงพูดไม่ได้เต็มปากนักว่าเป็นรถสปอร์ตน้ำหนักเบา เพราะถ้ามากกว่านี้อีกสัก 25 กิโลกรัมก็จะเท่ากับซาลูนอย่าง 520d SPORT แล้ว อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับ M2 LCI เจ้า Z4 นี้ก็หนักกว่ากันแค่ 15 กิโลกรัม และถ้าเทียบกับ M2 Competition แล้ว Z4 ก็จะเบากว่าอยู่ 40 กิโลกรัม

สัดส่วนของรถ ยังรักษาเอกลักษณ์ของ Z-Roadster หน้ายาว ท้ายสั้น 2 ที่นั่ง สำหรับรถรุ่นใหม่ตัวถัง G29 นี้ ได้รับการออกแบบตามแนวคิด Clean-cut Surface Design ซึ่งเป็นแนวคิดเกือบจะตรงกันข้ามกับดีไซน์ยุค Chris Bangle ในสมัยของ Bangle นั้น ตัวถังจะมีรอยพับรอยหักและเส้นตัดฉวัดเฉวียดไปหมด ส่วนดีไซน์แบบใหม่ จะลบเอาเส้นสายที่ไม่จำเป็นออก หักมุมแค่พอเหมาะ แต่ถ้าได้แสงเงาลงเหมาะสม..คุณจะเห็นเส้นสายที่ทำให้นึกถึงเทพเจ้าหมัดดาวเหนือตอนโกรธกล้ามเป่ง

ช่องรับอากาศด้านหน้าถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น กระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ ลวดลายกระจังเป็นแบบ Mesh แปลกใหม่ไปจาก BMW รุ่นอื่น ไฟหน้าออกแบบเป็นซ้อน 2 ชั้น ครั้งแรกสำหรับ BMW ที่เลือกดีไซน์ลักษณะนี้มาใช้

วัสดุที่ใช้ตกแต่งบริเวณกระจังหน้า และกระจกมองข้างในรุ่น M40i จะมีสีเงินอมทองอมเขียว ซึ่งสวยเก๋อยู่ แต่อย่าได้เอามือไปถูเล่นหรือปล่อยให้ยุงไต่ไรตอมเป็นอันขาด เพราะทำความสะอาดยากเหลือเกิน ต้องใช้ครีมขัดนาฬิกาผสมกับน้ำค่อยๆถูนวดเบาๆทีละนิดถึงจะออก

ด้านท้ายรถ ใช้ไฟท้าย LED ทรงเรียว ซ่อยความเป็นตัว L เอาไว้ในดวงไฟ ร่วมกับปลายท่อไอเสียแบบแนวนอน ซึ่งส่งผลให้ตัวรถดูแบนกว้างเมื่อมองจากด้านหลัง และยังมีกลิ่นอายของรุ่นพี่อย่าง M850i

หลังจากที่รอฝนหยุดตก ผมลองกดปุ่มเปิดหลังคาเผื่อถ่ายภาพ พบว่าหลังคาของ Z4 ใหม่นั้นทำงานได้รวดเร็วมาก แค่เพียง 10 วินาทีก็กลายร่างเป็นรถเปิดหลังคา และหากเป็นการใช้งานจริงบนถนน สมมติว่าฝนเริ่มตก คุณต้องการปิดหลังคาขณะที่รถติดอยู่ที่แยกไฟแดง แล้วปรากฏว่าไฟเขียวสว่างขึ้น ก็ไม่ต้องกลัวครับ เพราะหลังคาจะยังทำงานได้แม้คุณจะวิ่งออกตัวไป ขอแค่อย่าใช้ความเร็วเกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็พอ

BMW มีเหตุผลที่พวกเขาเปลี่ยนใจจากหลังคาแข็งพับได้ใน Z4 E89 มาเป็นหลังคาผ้าใบ ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือเรื่องน้ำหนัก กลไกที่ใช้กับหลังคาเหล็กต้องมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อให้ยกน้ำหนักได้เยอะ ตัวหลังคาเหล็กเองก็หนักกว่า ไม่ว่าจะกางหรือเก็บ มันก็คือน้ำหนักก้อนใหญ่ที่แขวนไว้สูงกว่าระดับเอวคนนั่ง ซึ่งจะไปลดสมรรถนะในการเข้าโค้งของรถ และแม้จะไม่เล่นโค้ง แค่วิ่งทางตรง น้ำหนักของกลไกหลังคาก็หนักกว่า

ประการที่สอง เมื่อเป็นหลังคาแบบผ้าใบ คุณสามารถออกแบบจุดหักจุดงอของโครงหลังคาได้ง่ายและอิสระกว่าหลังคาแข็ง ทำให้เมื่อพับเก็บแล้วไม่กินที่ใต้ฝากระโปรงหลัง ใน Z4 เจนเนอเรชั่นที่แล้ว ถ้าคุณเอาหลังคาขึ้น เนื้อที่ฝากระโปรงท้ายจะมีความจุ 310 ลิตร แต่ถ้าเอาลงเมื่อไหร่ จะเหลือแค่ 180 ลิตรเท่านั้น ส่วนบอดี้ G29 นั้น จะมีให้เลย 281 ลิตร คงที่ตลอดปีตลอดชาติ เพราะเขากั้นห้องเก็บหลังคาแยกเป็นสัดส่วน และตัวหลังคาก็กินที่น้อยมาก

มันอาจจะไม่มีที่พอให้ยัดถุงกอล์ฟแบบหัวยาว Full-size แต่สำหรับกระเป๋าเดินทางสำหรับทริปต่างจังหวัด 2-3 คืนกับคุณแฟน ไม่มีปัญหาครับ

ภายใน สปอร์ต แพรวพราว ไม่แคบอย่างที่คิด

ด้วยความที่เป็นคนตัวใหญ่ ผมคาดเอาไว้ว่าถ้าปิดหลังคา จะต้องมีปัญหาในการขึ้น/ลงจาก Z4 อย่างแน่นอน..แต่ผมคิดผิดถนัด เพราะประตูที่ยาวทำให้มีพื้นที่ในการยัดตัวลงเบาะได้มาก หลังคาที่เหมือนจะเตี้ย แต่ก็ไม่ได้เตี้ยมากนัก เชื่อหรือไม่ว่าผมสูง 183 เซนติเมตร แต่เวลาขึ้นลงจากรถก็ไม่ได้ยากไปกว่า 330i G20 เท่าไหร่เลย ต่างกันแค่ต้องใช้แรงขามากกว่า เพราะตัวรถของ G29 มันเตี้ย แค่นั้นเลยครับ

เบาะนั่งของ Z4 เป็นแบบที่ดีไซน์มาใช้เฉพาะกับรถรุ่นนี้ ไม่ได้แชร์กันใช้กับรุ่นอื่น เป็นแบบสปอร์ตที่พนักพิงศีรษะเชื่อมเป็นชิ้นเดียวกันกับพนักพิงหลัง ตัวเบาะคู่หน้าเป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า สามารถปรับดันหลัง ปรับปีกเบาะได้ และฝั่งคนขับจะมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะที่ทำงานเชื่อมกับตำแหน่งกระจกส่องข้าง แต่ไม่มีการเชื่อมกับพวงมาลัย..จะเชื่อมได้ไงก็มันยังเป็นแบบปรับด้วยมืออยู่

เมื่อทดลองนั่งดู พบว่าตัวเบาะจะมีขนาดของปีกข้างที่ใหญ่โอบตัวมากกว่าเบาะสปอร์ตที่เราพบในซาลูนอย่างซีรีส์ 3 หรือ 5 แต่ก็เป็นไปตามรูปแบบของรถ สำหรับเรื่องความสบาย ผมลองขับ Roadster มาหลายรุ่นทั้งจากฝั่งยุโรป และญี่ปุ่น เบาะของ Z4 ยังถือว่าให้ความสบายในการเดินทางไกลได้มากกว่าคันอื่น และแม้จะเป็นรถเบาะเตี้ยคอนโซลสูง กลับมีที่ให้ขยับแข้งขาได้มาก จะมีติดก็แค่แผงประตูที่ถูเบียดไหล่ขวามากกว่า MINI เสียอีก แต่ว่านั่นอาจจะเป็นความผิดของขนาดตัวผมมากกว่า

และถัดจากเบาะไปด้านหลัง ก็จะมี Rollover bar (แท่นที่ทำไว้กันหัวกระแทกเวลาพลิกคว่ำ) มาไว้ให้ ระหว่าง Rollover bar สองข้าง ก็จะมีแผ่นกันลมตี ซึ่งจะทำให้ภาพสะท้อนที่เห็นบนกระจกมองหลังมืดเบลอลงนิดหน่อย คุณสามารถถอดออกได้ แต่ถ้าจะถอด ก็ต้องเปิดหลังคาก่อน

บรรยากาศภายในของ Z4 M40i มีเอกลักษณ์ของ BMW ยุคใหม่ให้เห็นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของช่องปรับอากาศ คันเกียร์ หรือสวิตช์สีโลหะ และการตกแต่งแซมส่วนต่างๆด้วยวัสดุลาย Aluminium Tetragon แผงแดชบอร์ดด้านบนในรุ่น M40i จะบุ Sensatec โดยรวมแล้ว คุณได้ทุกอย่างที่คุณคาดหวังจาก BMW ในเรื่องวัสดุและการออกแบบ สวยงามสมราคาห้าล้านทอนพันเดียว ยิ่งรถทดสอบของเราได้เบาะ/ภายในสี Magma Red ทำให้ดูเหมือนรถซิ่งจากยุคคลาสสิค น่ามองกว่าสีดำธรรมดาๆเยอะ

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน M Sport พร้อม Paddleshift ปรับสูง/ต่ำ ใกล้ ไกลได้ด้วยมือ มีสวิตช์สำหรับควบคุมชุดเครื่องเสียง และ Cruise Control ชุดสวิตช์ไฟหน้าอยู่ใต้ช่องแอร์ด้านขวา เปลี่ยนจากแบบลูกบิดที่เคยใช้ เป็นแบบกดปุ่มเหมือน 3 Series G20

มีหลายสิ่งที่ผมชื่นชม เช่น การออกแบบภายในที่สอดคล้องกับรถรุ่นใหม่ของทางค่าย แต่ไม่เหมือนมากจนดูเหมือนยกคอนโซลรุ่นอื่นมาใส่ และถ้าเทียบกับ M2 ก็พบว่ามันต่างกันคนละโยชน์เรื่องความสวยงามและอุปกรณ์ที่ Z4 ใส่มาให้ดูเหมือนรถราคาห้าล้านในขณะที่ M2 ดูแล้วเหมือนรถคันละ 2.5 ล้านบาท เบรกมือของ Z4 ก็เปลี่ยนเป็นแบบไฟฟ้าแล้ว และมีระบบ Auto hold ที่ทำให้การขับตะลุยเมืองในวันรถติดนั้นเมื่อยเท้าขวาน้อยลง

อย่างไรก็ตาม คนที่ถูกฝึกมาให้หาจุดตำหนิรถได้ทุกคันอย่างผม ก็ยังหาบางอย่างเจอในรถคันนี้ มันคือเรื่องที่เราต้องเลือกระหว่างความสวยงามกับความง่ายในการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่นตำแหน่งการวางสวิตช์ปุ่มสตาร์ท ซึ่งใน M2 จะแยกเป็นเอกเทศบนแดชบอร์ด ทางซ้ายของพวงมาลัย แต่ของ Z4 ทำเหมือน BMW รุ่นใหม่ๆ กลับเอามาวางไว้ท่ามกลางมวลหมู่สวิตช์แถวเกียร์มากมาย ที่แย่ไปกว่านั้น ทุกปุ่มมีหน้าปุ่มที่เรียบไปหมด ทำให้เวลาคลำหาก็กลัวคลำผิดถูก ไม่รู้เป็นปุ่มไหน ต้องเป็นคนที่ได้ขับรถคันนี้จนชินเท่านั้นถึงจะจำได้ ในขณะที่ M2 นั้น จะเป็นปุ่มนูนแบบรถยุคก่อนที่คุณยังสามารถเอานิ้วคลำโดยไม่ต้องชายตามอง ก็เดาได้ว่าเป็นปุ่มอะไร มีหน้าที่อะไร

นี่คือเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ชอบใน Z4 แต่เข้าใจในหัวอกของคนดีไซน์ ว่าบางครั้งลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อรถจริง ก็สนใจเรื่องความสวยงามล้ำสมัย มากกว่าการใช้งาน..You can’t be all about form follow function

อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่ผมชอบคือจอกลางขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งบริหารงานโดยระบบ iDrive Version 7.0 นี่ล่ะ มันสามารถทำอะไรแบบที่จอกลางควรทำได้ครบครันเลยทีเดียว คุณสามารถ Split Screen แบบจอเวอร์ชั่นเก่าก็ได้ แต่การแสดงค่าต่างๆจะทำออกมาดูรู้เรื่องราว และทันสมัยกว่า สามารถเอานิ้วถูเลื่อนให้เป็นรอยเล่นก็สะดวก หรือถ้าไม่อยากให้จอเป็นรอยนิ้ว ก็ใช้ปุ่มหมุน Controller ตรงข้างคันเกียร์ได้เช่นกัน

นอกจากจะมีระบบนำทาง, ระบบ BMW Connected กล้องมองหลัง พร้อมระบบช่วยจอด ระบบช่วยถอยหลังแบบวิ่งกลับไลน์เดิมอัตโนมัติ (Reverse Assist) มาให้แล้ว ฟังก์ชั่นใหม่ที่ผมชอบมากคือ Sport Display ซึ่งไม่ได้โชว์แค่แรงม้าแรงบิดแบบจอรุ่นเก่า (ซึ่งไม่รู้เอาไว้เพื่ออะไร และไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจริงจัง) คราวนี้ คุณสามารถรู้ค่าต่างๆได้มากขึ้น เช่นแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ (G-meter) แรงดันบูสท์เทอร์โบ และอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ซึ่งอย่างหลังนี้จำเป็นมากสำหรับการนำรถไปขับในสนามแข่งกับเพื่อนๆ ..และแน่นอน มิเตอร์โชว์ม้าโชว์แรงบิดก็ยังอยู่

รุ่น M40i ยังมีของเด็ดอีกอย่างคือเครื่องเสียง Harman Kardon Surround Sound ซึ่งใน Z4 นี้ ให้เสียงเบสที่แน่นมากชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้เล่นเพลงประเภทที่อัดเบสมาหนักแบบเวอร์ๆ คุณจะได้เสียงที่ตู้มต้ามเต็มหูโดยไม่ขาดรายละเอียดส่วนน้อยไป สำหรับคนที่มีห้องฟังเพลงในบ้านกับสเตอริโอชุดละเป็นล้าน เครื่องเสียงของ Z4 อาจจะยังไม่ละเอียดพอ แต่สำหรับผม ถือว่าดีมากแล้วสำหรับรถในคลาสนี้ และถ้าได้เป็นเจ้าของ Z4 ก็คงไม่ไปยุ่งอะไรกับเครื่องเสียงอีก

สำหรับหน้าปัด เป็นจอสีแบบใหญ่เต็มพื้นที่ ซึ่งเมื่อรวมหน้าปัดไฮโซชิ้นนี้เข้ากับจอกลางขนาด 10.25 และ iDrive Version 7.0 ทาง BMW เขาจะเรียกแพ็คเกจนี้รวมๆว่า BMW Live Cockpit Professional (ถ้าเป็นหน้าปัดเข็ม มีจอ MID บวกกับจอกลางแบบปกติอย่างใน 320d G20 เขาจะเรียกว่า Live Cockpit Plus)

การออกแบบหน้าปัด เห็นได้ชัดว่าพยายามตามเทรนด์รถหรูสมัยใหม่โดยพยายามเน้นสีสันกราฟฟิคตระการตา มีการแสดงระบบนำทางขึ้นตรงกลางจอ ซึ่งถ้าคุณไม่ชอบ ก็สามารถปิดได้ที่ฟังก์ชั่น Display ในหมวด CAR บนเมนูในจอกลาง ตัวเลขความเร็วฝั่งซ้ายเว้นระยะแบบไม่สมมาตรโดยเน้น 0-100 ชัดเจน แต่ 100-260 จะแบ่งแบบไม่ค่อยละเอียดนัก ส่วนมาตรวัดรอบอยู่ทางขวา และมีส่วนแสดงข้อมูลเพิ่มเติมที่กลางมาตรวัดรอบ ซึ่งเลือกได้ว่าจะให้แสดงตำแหน่งเกียร์ ข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง Media ที่เล่น หรือมาตรวัดพลัง (hp & nm)

ที่น่าสนใจคือ ในรถที่ใช้ Live Cockpit Plus จะไม่มีการจำค่า Trip Meter เป็น Trip A และ Trip B อีกแล้ว แต่เปลี่ยนการจำเป็น Since Refuel (เมื่อมีการเปิดฝาถังน้ำมัน) หรือ Since Individual (ตามแต่คุณจะรีเซ็ต) ซึ่งผมยังหาวิธีรีเซ็ตระยะทางตรงนี้ไม่เจอนอกจากจะไปกดบนจอกลาง มันอาจจะมืดจนผมมองหาไม่เจอ? หรือเปล่า?

เมื่อกดโหมด SPORT ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยอย่างที่เห็น เข็มของมาตรวัดจะหายไป แต่จะเปลี่ยนเป็นแสงสีในรูปของ Bar ที่ไต่ขึ้นลงตามรอบและความเร็ว

ในหลายส่วนที่น่าชื่นชมของ BMW ยุคใหม่ หน้าปัดนี้น่าจะเป็นส่วนเดียวที่ผมรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะแม้จะชนะ 10/10 เรื่องความสวยงาม แต่เมื่อขับจริงแล้วต้องใช้สมาธิกับถนนข้างหน้า การเพ่งมองหน้าปัดแบบใหม่นี้เป็นเรื่องยาก ตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอลตรงกลางมีขนาดเล็ก ต่อให้ปิดส่วน mph ไปแล้วก็ตาม ตรงกันข้าม หน้าปัดเข็มแบบของ M2 หรือจอสีที่มีการออกแบบให้แสดงผลแบบเข็มอย่าง M5 F90 ดูง่ายกว่าเยอะเวลาขับเร็วๆ

และการจัดพื้นที่ของหน้าปัดก็ยังไม่ค่อยดี จอโชว์ระบบนำทางนั้นต่อให้คุณปิดไม่ใช้งาน ตรงกลางของหน้าปัดก็จะดำมืด ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ในยุคนี้รถจอสีควรสามารถ Config รูปแบบหน้าปัดได้หลากหลายเข้ากับสถานการณ์การขับ ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะมีจอสีไปเพื่ออะไร?

ขุมพลัง – 6 สูบ+เทอร์โบ+ M Sport diff=แม่ฉันต้องได้ขับ Z4!!

มาถึงหัวใจของรถ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจเรามากกว่าส่วนอื่นๆ Z4 เป็นรถเพียงรุ่นเดียวของ BMW ในไทยที่ไม่ใช่รถ M Car แล้วคุณยังสามารถเลือกรุ่น 6 สูบเบนซินเทอร์โบได้ และในความเห็นผม 6 สูบนี่ล่ะ คือเครื่องยนต์ที่ BMW สร้างได้เก่งกาจอย่างหาตัวเปรียบยาก

เครื่องยนต์ของ Z4 M40i มีรหัสว่า B58B30C ซึ่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดตรงแรงดัน 350 บาร์ ความจุกระบอกสูบจริง 2,998 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ 82.0 มิลลิเมตร x ช่วงชัก 94.6 มิลลิเมตร ใช้เทอร์โบเดี่ยวแบบ Twin scroll มีระบบ Valvetronic และระบบแปรผันแคมชาฟท์ Double VANOS (ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย) แรงม้าสูงสุดเรียกออกมาได้ 340 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบต่อนาที

เครื่อง 6 สูบตัวเจ็บนี้ พัฒนามาพร้อมๆกับเครื่องยนต์ Modular Series B37, B38, B47, B48 และ B57 ซึ่งแม้จะมีความจุ 1.5, 2.0 และ 3.0 ลิตรและมีจำนวนกระบอกสูบต่างกัน แต่มีหลายชิ้นส่วนที่ถูกออกแบบให้ใช้ร่วมกันได้มากกว่าก่อน

  • เสื้อสูบอะลูมินั่มอัลลอย เป็นเสื้อแบบตัน (Closed deck) ในขณะที่ N55 เป็นแบบ Open deck ทำให้มีศักยภาพรองรับการโมดิฟายเพิ่มกำลังได้ดีกว่า โดยเสื้อสูบของ B58 นี้จะแชร์กันใช้กับเครื่อง B57 อย่างที่พบใน BMW ดีเซล 3.0 ลิตรรุ่นใหม่ๆ
  • ชุดโซ่ขับเคลื่อนแคมชาฟท์จะอยู่หลังเครื่อง ตรงด้านที่ต่อกับเกียร์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อย้ายจุดที่มีแรงเหวี่ยง/สั่นไปอยู่ในตำแหน่งที่จะมีผลดีต่อการทำงานที่นุ่มเรียบกว่า
  • ท่อร่วมไอเสียแบบมีน้ำระบายความร้อน เทอร์โบชาร์จของ BorgWarner B03
  • ย้ายอินเตอร์คูลเลอร์จากด้านหน้า ไปอยู่ด้านบน เปลี่ยนเป็นแบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ดังนั้นสำหรับพวกที่คิดจะโมดิฟาย งานแปลงน่าจะเยอะกว่าเครื่องรุ่นก่อนๆในจุดนี้

ระบบส่งกำลังจะมีเพียงแบบเดียวคือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic Sport ซึ่งมีอัตราทดเกียร์ดังนี้

  • เกียร์ 1 – 5.250
  • เกียร์ 2 – 3.360
  • เกียร์ 3 – 2.172
  • เกียร์ 4 – 1.720
  • เกียร์ 5 – 1.316
  • เกียร์ 6 – 1.000
  • เกียร์ 7 – 0.822
  • เกียร์ 8 – 0.640
  • เกียร์ ถอยหลัง 3.712
  • อัตราทดเฟืองท้าย 3.154

รุ่น sDrive20i, sDrive30i และ M40i จะใช้เกียร์อัตราทดเท่ากันรวมถึงเฟืองท้ายที่มีอัตราทดเดียวกัน แต่เกียร์ของรุ่น M40i จะถูกปรับจูนนิสัยการทำงานให้ดุดันเหมาะกับพละกำลังของรถมากขึ้น และแม้จะเป็นเกียร์อัตโนมัติทอร์คคอนเวอร์เตอร์ แต่ Z4 ใหม่ก็มีฟังก์ชั่น Launch Control ให้ใช้เช่นเดียวกับ M2 และ M4 ทีเ่ป็นเกียร์คลัตช์คู่

ระบบบังคับเลี้ยวของ Z4 ใหม่ เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS พร้อมระบบ Variable Sport Steering ที่สามารถปรับน้ำหนักต้านมือและความไวของพวงมาลัยได้ โดยอัตราทดเฟืองพวงมาลัยจะอยู่ที่ 15.1:1 ในตำแหน่งถือตรง + ซ้ายหรือขวาเล็กน้อย แต่ถ้ายิ่งหักพวงมาลัยมากขึ้น ความไวก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Double-joint spring strut ปีกนกทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ด้านหลังเป็นแบบอิสระ Five-link ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาผสมกับเหล็กกล้า นอกจากนี้ในรุ่นท้อปอย่าง M40i ยังได้ช่วงล่างปรับความหนืดควบคุมได้ระบบไฟฟ้า M Adaptive Suspension พร้อมทั้งเฟืองท้ายสปอร์ต M Differential มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเลย

M Differential เป็นเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบควบคุมการส่งพลังด้วยไฟฟ้า ไม่ได้ใช้การจับเบรกสองข้างเหมือนพวก ELSD ในรถบางยี่ห้อ แต่ใช้กลไกการจับล็อคแรง/เบา ซึ่งควบคุมด้วย ECU ซึ่งทำให้ตอบสนองได้รวดเร็ว และมีการนำตัวแปรต่างๆมาคำนวณเช่น ความเร็วของรถ องศาพวงมาลัย ความต่างของความเร็วในการหมุนของแต่ละล้อ แรงเหวี่ยงออกข้าง องศาคันเร่ง เป็นต้น ระบบนี้เปรียบได้กับเวอร์ชั่นย่อส่วนของ M Diff ที่อยู่ใน M5 F90 นั่นเอง

ลองขับจริง แรงเอาเรื่อง แต่จะขับแบบสบายก็ง่าย

เพียงแค่สตาร์ทเครื่องยนต์ มันไม่ได้เพียงทำให้รถตื่นขึ้น แต่ดูเหมือนหัวใจคนขับจะตื่นยิ่งกว่ารถเสียอีก เสียงไดสตาร์ทหมุนปั่นเครื่องตามด้วยเสียงกระหึ่มขึ้นและค่อยๆปรับลงมาสู่รอบเดินเบา…มันทำให้ผมคิดถึงเจ้า M2 ขึ้นมาจับจิต มันทุ้มต่ำ ไม่แผดลั่นแบบรถสี่สูบแต่งท่อ แต่เขย่ากระจกในบ้านมากกว่ารถทั่วไปจนแม่ผมต้องเดินออกมาดูว่าลูกชายเขาเอารถอะไรมาทดสอบวันนี้

ระบบเกียร์อัตโนมัติ ทำงานเหมือนกับ…เกียร์อัตโนมัติทั่วไปของ BMW ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องใช้ความเข้าใจหรือการปรับตัวอะไรเลยที่จะขับรถคันนี้ มัน simple ขนาดเข้าเกียร์ D ปล่อยเบรก รถก็ไหลไปข้างหน้าตามปกติ เมื่อลองกดคันเร่งดู ก็ชวนตื่นตระหนกนิดหน่อย เพราะขนาดแค่ประมาณ 2,000 รอบ เครื่อง B58 ก็ฉุดกระชากลาก Z4 ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตัวผมเองก็เพิ่งขับ 330i G20 มา ถ้าคุณคิดว่านั่นคือรถที่มีแรงบิดรอบต่ำและกลางดีแล้ว Z4 จะแสดงให้คุณเห็นว่าความจุ 1.0 ลิตรที่เพิ่มมานั้นให้อะไรคุณได้บ้าง..นี่แค่กดคันเร่ง 30-40% นะครับ

การขับใช้งานในเมือง ง่ายกว่า M2 เพราะคุณมีทั้งระบบ Auto hold ที่ช่วยคาเบรกแทนคุณที่ไฟแดง และในยามเคลื่อนไหลไปตามการจราจรติดขัด ก็ไม่ต้องคอยตบคันเร่ง พวงมาลัยไว คล่อง เปลี่ยนเลนไปมาได้สบายโดยที่น้ำหนักตึงมือว่ารถ BMW สี่สูบนิดหน่อย พอให้รู้ว่าคุณกำลังขับรถสปอร์ต ส่วนช่วงล่างในโหมด Comfort นั้น นุ่มมากถ้ามองว่านี่เป็น Performance Car นี่ถ้าใส่ล้อ 18 กับยางแก้มหนาหน่อยก็จะได้ฟีลกึ่งหนุ่มกึ่งกระชับแบบ 330i เด๊ะ ยอมรับเลยว่ายิ่งรถติด ยิ่งถนนขรุขระ M2 สบายสู้ Z4 ไม่ได้เลย

เมื่อยามดึก ผู้คนปกติกลับบ้านนอนกำลังฝันดี พวกนักล่ายามราตรีอย่างผมก็พา Z4 ออกไปวาดลวดลายสักหน่อย เพราะไม่ใช่ทุกวันที่จะมี BMW 6 สูบเทอร์โบมาให้ขับกัน เมื่อกระแทกคันเร่งเรียกกำลังเต็ม 100% Z4 จะพุ่งจ๊าดออกไปแทบในทันที และแม้คุณไม่เปิด Launch Control (รถทดสอบของเรายังล็อคไว้ไม่ให้ใช้) มันก็สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จบใน 5.38 วินาที โดยที่ไม่ว่าคุณจะอยู่โหมด Comfort หรือ Sport+ ตัวเลขที่ได้จะต่างกันไม่เกิน 0.1-0.2 วินาที เพราะเกียร์ของ Z4 ฉลาดพอที่จะรู้ว่า เมื่อรถกดคันเร่งอยากรวดเร็ว มีสิ่งเดียวที่เราต้องการคือ “พลังทั้งหมดที่รถจะให้ได้”

ช่วงเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับโหมดที่คุณเลือก ในโหมด Comfort จะต้องมีการชิฟท์จากเกียร์สูงลงมาเกียร์ต่ำที่นานกว่าบ้าง ทำให้จบที่ 3.67 วินาที แต่ถ้าคุณใส่โหมด Sport + เอาไว้ ก็จะใช้เวลาแค่ 3.35 วินาทีเท่านั้น ลองนึกภาพว่ามีรถขวางอยู่ข้างหน้า วิ่ง 80 คุณเปิดไฟเลี้ยว ฉีกออก แล้วกดคันเร่งเต็ม นับ 1..2..3 คุณก็ทิ้งรถคันนั้นไปไกลแล้ว

แต่คุณคงไม่ได้ซื้อ Z4 มาทำแค่ 0-100 หรือ 80-120 ซึ่งมีคนชอบค่อนขอดว่าผมจะบ้าจับเวลาไปทำไม ทั้งๆที่นาฬิกาเป็นปัจจัยสำคัญที่บอกได้ละเอียดกว่าความรู้สึกมนุษย์..ผมลองทำอัตราเร่ง 0-200 แล้วเทียบกับสมัยที่ลองขับ M2 ในทันที

หัวใจผมสลายเหมือนธานอสดีดนิ้ว เป๊าะ..

M2 ที่พ้นรันอินแล้ว มี 370 แรงม้า และใช้ Launch Control ทำเวลา 0-200 ได้ 17.6 วินาที แต่ Z4 M40i ใส่เกียร์ D โหมด Sport + ออกตัวตามปกติ ทำได้ 17.4 วินาที รู้สึกเหมือนลุกรักของตัวเองเพิ่งถูกเอาชนะไปโดยผู้มาใหม่ที่วัยเยาว์กว่า เริดกว่า และพอให้ประลองกำลังกันจริงๆ ก็ชนะลูกผมไปแบบเล็กน้อยบนนาฬิกา แต่มากเหลือเกินเมื่อเทียบว่านี่คือรถเปิดหลังคา แล้วยังมีม้าน้อยกว่ากันตั้ง 30 ตัว! Z4 M40i ยังสามารถพาคุณดีดข้ามหลัก 200 ไปได้ไกล จนถึงจุดที่คอมพิวเตอร์ล็อคที่ 267 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การขับขี่ในโหมดบู๊นั้น ยิ่งรู้สึกคล้ายกับ M2 มาก คุณได้รถสั้นป้อมที่มีบุคลิกรักสนุกเหมือนกัน กดเข้าโค้งแรงๆ ต่อให้ DSC เปิดอยู่ก็สามารถเอาท้ายออกได้นิดๆ และออกได้มากขึ้นเหมือนเปิด DSC Sport ในโหมด Sport + ทั้ง Z4 และ M2 มีความคมในการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกัน หน้าจิกเมื่อสั่ง ท้ายออกเมื่อต้องการเหมือนกัน แต่ Z4 มีพวงมาลัยที่รู้สึกไวกว่า หักพวงมาลัยไปตามโค้งได้รวดเร็วกว่า แต่จะต้องเกร็งมือมากกว่าที่ความเร็วหลัง 180 แล้วต้องเปลี่ยนเลน มันไม่ถึงกับแย่ เพราะน้ำหนักต้านมือของพวงมาลัยนั้นหนืดหนักมากพอ แค่ให้ระวังอย่าหักพวงมาลัยเยอะเกินเหตุเท่านั้นครับ

ในท้ายที่สุด ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองโดนตก (ตกหลุมรัก) โดยรถแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบ เพราะผมชอบรถหลังคาแข็งมากกว่าโรดสเตอร์มาตลอดชีวิต แต่ Z4 M40i นั้น ให้ความสนุกในการขับมากเท่ากับที่ผมได้รับจาก M2 เสียอีก ทุกครั้งที่กดคันเร่ง เสียงเครื่องหกสูบชั้นเยี่ยมที่ได้รับรางวัลจาก Ward’s Autoworld จะแผดสนั่นเยอรมันจัดให้ หวานเข้มข้นเหมือนนูเทลล่าช็อคโกแลตที่ทาขนมปังกิน ในขณะที่การตอบสนองของคันเร่ง เกียร์ และพวงมาลัย คมซะราวกับมีดโกน ยิ่งในโหมด Sport + นั้น เวลาถอนคันเร่ง จะแถม Popcorn ใหญ่ให้อีกหนึ่งถุง ปุปะปุ้งปั้ง แล้วไม่ได้ดังเบาๆแบบพวก JCW MINI นะครับ อันนี้ดังแบบตั้งใจ จนบางทีผมอยากจะหาปุ่มปิดเสียงข้าวโพดคั่วนี้เหมือนกัน

ระบบเบรกของ M Sport สามารถหน่วงความเร็วได้ดี และไม่ออกอาการเฟดแม้จะเบรกจาก 250 ลงมาเหลือ 100 แต่ลักษณะการเซ็ตน้ำหนักแป้นจะต่างจากรถซาลูนอย่าง 330i ตรงที่ระยะเหยียบ 2 นิ้วแรกจะเบากว่า แต่พอเหยียบเพิ่มลงไปอีกนิดเดียว เบรกจะจับจนหน้าทิ่ม อาจเป็นเพราะต้องเซ็ตมาเผื่อการขับบนแทร็ค ที่ต้องอาศัยการตอบสนองที่แรงและเร็ว มากกว่าความนุ่มในการเบรกสำหรับชีิวิตประจำวัน

ผมอยากจะมีเวลาจับอัตราสิ้นเปลือง แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้ต้องสังเกตจากหน้าปัดเอา แน่นอนว่ายามออกรบ อัตราสิ้นเปลืองจะลงไปแถวๆ 6-7 กิโลเมตรต่อลิตรอย่างง่ายดาย แต่ในระหว่างที่ผมขับกลับบ้านในคืนที่ฝนลงปรอยๆด้วยความเร็ว 110-120 นิ่งๆ ตัวเลข 12.5 กิโลเมตรต่อลิตรก็โผล่มาให้เห็นเหมือนกัน

ส่วนการเก็บเสียง ต้องทำใจว่ารถหลังคาผ้าใบ คงทำให้ดีเท่าหลังคาเหล็กได้ยาก ดังนั้น เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงคนเดินผ่านท้ายรถแล้วแอบเม้าธ์รถเรา ทุกอย่าง ได้ยินหมด แต่เสียงลมเวลาขับ กลับไม่ดังมากเท่าที่คิด อย่างน้อย มันก็เงียบกว่ารถเปิดประทุนหลังคาผ้าใบทุกคันที่ผมขับมา (ไม่นับพวก Bentley หรือ Rolls-Royce)

สรุป: ไม่ใช่ M2 แต่ทดแทนกันได้เกือบทุกด้านในราคาที่ถูกกว่า

ในที่สุดก็ต้องยอมรับแบบน้ำใจนักกีฬาว่า ต่อให้ผมจะรัก M2 คันเก่งมากขนาดไหน ความเป็นจริงก็คือ วันนี้ Z4 M40i สามารถทาบรัศมีในสนามได้อย่างสบาย การที่มีสื่อมวลชนเยอรมันสามารถควบ Z4 ได้เร็วกว่า M2 ในสนาม Nurburgring นั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องโม้เพื่อการ PR เพราะขนาดขับบนทางตรงยังเร็วได้เกือบเท่ากัน และบางช่วง Z4 ก็เร็วกว่า

อะไรก็ตามที่ผมเคยหลงรักจาก M2 ผมกลับมาพบอีกครั้งในรถคันนี้..และเมื่อมองว่า Z4 เป็นรถเปิดหลังคา ออพชั่นครบ ขาดแค่ HUD กับพวงมาลัยปรับไฟฟ้า ยังสามารถทำราคาได้ถูกกว่า M2 LCI ตอนยังไม่ลดราคาอยู่เกือบ 1 ล้านบาท แน่นอนว่าถ้ามองในแง่ของ Sex with your ride กับเศรษฐศาสตร์ควบคู่กัน Z4 M40i ชนะ M2 อย่างขาวสะอาด นี่ไม่ใช่หรือคือรถสปอร์ตที่คุณรอคอยมานาน รถที่มีครบทั้งรูปร่าง คุณลักษณะ ความหรูหรา และความสนุกในการขับ ที่สนุกด้วยแรงจีทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง กล่อมหูคุณด้วยเสียงที่เสนาะหู ไพเราะจนช่วงหลังๆ ผมเชิญเครื่องเสียง Harman Kardon ไปพักร้อน แล้วฟังแต่เสียง B58B30C เร่งไปจนสุดเรดไลน์

แต่ก็ใช่ว่าผมจะชอบทุกอย่างในรถคันนี้มากกว่า M2 เรื่องแรกก็คือ การเป็นโรดสเตอร์ที่ต้องตัวเล็ก ลิ่ม แน่นอนว่าพื้นที่ภายในมันไม่ได้สบายแบบรถคูเป้ทรงปกติ อีกทั้งเวลานั่ง ประตูยังเบียดไหล่มากกว่า ประการที่สองคือวิธีการออกแบบ Interface และการใช้งานในจุดต่างๆ เช่นหน้าปัด ซึ่งสวยงามมาก แต่ในการใช้งานจริงกลับยากกว่าหน้าปัดแบบเข็มเสียอีก และสวิตช์ต่างๆซึ่งออกแบบมาเป็นผิวเรียบ ยากต่อการใช้สัมผัสคลำในระหว่างที่ขับรถ

อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อความจริงที่ผมจะให้ความเคารพในสิ่งที่ Z4 M40i เป็น มันคือรถแบบที่ผมจะแนะนำให้คนที่ต้องการรถสปอร์ตยุโรปในงบ 5 ล้านบาทเลือกใช้ และถ้ามีใครให้ผมเลือกรถให้ระหว่าง M2 LCI (สมมติยังเหลือในสต็อค) กับ Z4 M40i ต่อให้จ่ายเงินเท่ากัน ผมก็อาจจะบอกว่า Z4 คือการลงทุนที่ให้บุคลิกการขับขี่ครอบจักรวาลมากกว่า ถ้าคุณไม่เกี่ยงเรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร

ผมยังรัก M2 อย่างที่เคยรัก แต่ในวันนี้ ถ้า BMW จัดทริปขับรถ แล้วให้ผมเลือกขับไปไหนสักแห่งไกลๆ การได้รับกุญแจ Z4 ..หรือ M2 ก็นับเป็นสิ่งที่ผมใช้ไขประตูสู่การเดินทางที่ผมจะยิ้มได้กว้างเท่ากัน

ความเห็นท้ายเรื่อง จากคุณ spin9

ความเห็นของผมอาจจะลำเอียงนิดหน่อย เพราะผมเป็นแฟนของรถโรดสเตอร์อยู่แล้ว ซึ่งแฟนของรถทรงนี้ จะตัดข้อจำกัดของพื้นที่ใช้สอย กับเสียงที่ดังรบกวนห้องโดยสารมากกว่าปกติออกไปจากการคิดคำนวน และเมื่อตัดข้อจำกัดทั้งสองข้อนี้ออกจาก BMW Z4 M40i มันก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้ติเลย

พละกำลังกับเสียงที่ได้จากเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบคันนี้ ยากที่จะมีคนไม่หลงรักมัน บวกกับความหล่อของรูปทรงสปอร์ตโรดสเตอร์ ที่อัดเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ของ BMW เข้ามาเต็มเปี่ยม แค่ได้ลองขับเพียงไม่กี่วัน ก็มีแรงฮึดที่จะขยันทำมาหากินมากขึ้น เผื่อจะมีโอกาสได้ครอบครองมันจริงๆ ในอนาคตกันเลย

นอกจากต้องตัดข้อจำกัดออกไปสองข้ออย่างที่บอกแล้ว คนที่จะครอบครองรุ่นนี้ ยังต้องมีสิ่งจำเป็นอีกสองข้อด้วยกัน คือ เงินห้าล้านบาท กับ ที่จอดรถว่างๆ ที่บ้านอีกหนึ่งตำแหน่ง ถ้าคุณมีสองข้อนี้ และยอมรับข้อจำกัดสองข้อแรกได้ นี่คือรถที่ใช่ที่สุดในปี 2019 แล้ว


ขอขอบพระคุณ คุณชยทรรศน์ (โต้ง) แห่ง Thai Motor Oil Gallery พระรามสาม ซ.กวนอา สำหรับการให้ใช้สถานที่ถ่ายรูป และน้องๆทีมประมงทางด่วน สำหรับการให้ความช่วยเหลือทั้งขาตั้งกล้องและการถ่ายภาพในค่ำคืนที่ฟ้าไม่เป็นใจ

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments