ลองขับ BMW 330Li/520d/530e ต่างก็ขับสนุก คนนั่งหลังสบาย แต่คันไหน ดีอย่างไร

แม้ว่า BMW เป็นรถสำหรับคนที่รักความสนุก แต่ในหลายโอกาส เราพบว่า เรายอมลดดีกรีความดุในการขับ ลดความโหดในการปรับเซ็ต เพื่อให้รถหนึ่งคัน สามารถพาคนที่เรารัก ไปสนุกกับเราได้ และไม่ได้จำกัดแค่โลกของวัยรุ่นมีรสนิยมกับแฟนสาวผู้น่ารักเท่านั้น บางครั้งแม้แต่คุณพ่อที่รักสนุก ก็อยากได้รถสักคันที่สามารถให้คุณภรรยานั่งหลังเคียงข้าง Car seat ของลูกคนแรก เดินทางไปอย่างปลอดภัย หรือนักธุรกิจสาวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย บางครั้ง ก็อยากชวนคุณพ่อคุณแม่นั่งรถสบายๆไปรับประทานอาหารเย็นดีๆเมื่อมีโอกาส

สารภาพมาเถอะ ต่อให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปแค่ไหน ถ้าหาก BMW มีรถที่สามารถเข้าไปขอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณได้แล้วทุกคนโอเค คุณก็อยากจะมีกุญแจ BMW ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่สมาชิกในครอบครัวผู้ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือคุณจะอนุญาต

ความต้องการในรถที่มีคุณลักษณะรองรับได้รอบด้าน คือที่มาของรถอย่าง BMW 5 Series ซึ่งผสานเอาบุคลิกการขับขี่สไตล์ BMW เข้ากับพื้นที่ในห้องโดยสารที่มีขนาดกำลังดี ตัวรถไม่ใหญ่เหมือนขับคฤหาสถ์ แต่ก็ยังมีพื้นที่ภายในเหลือเฟือ

อย่างไรก็ตาม เมื่อ BMW เปิดตัว BMW 330Li ซึ่งเป็น 3 Series บนตัวถังแบบฐานล้อยาว รหัสตัวถัง G28 ด้วยสเป็คออพชั่นที่ดูดี พลังเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร ด้วยราคา 2,899,000 บาท เป็นการเปิดเซกเมนต์ใหม่ที่น่าสน เพราะแม้หลายท่านจะยังชอบรถคลาสสูงกว่า ราคาแพงกว่าอยู่ดี แต่รสนิยมคนเราไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเครื่องยนต์ดีเซล บางท่านไม่ชอบรถไฮบริด บางท่านอยากเก็บเงินไว้ลงทุนแล้วใช้งบลงกับการซื้อรถเท่าที่จำเป็น

เมื่อ BMW Thailand เชิญ Bimmer-TH ไปทดสอบรถพร้อมกัน 3 รุ่น แถมยังเปิดให้ลองขับทั้งในสนาม และนอกสนาม นับว่าเป็นโอกาสอันดีในการค้นหาความแตกต่างของรถเหล่านี้ และเราจะช่วยทำตัวเป็น Food Guide เพื่อช่วยให้คุณเลือกลำดับในการทดลองขับเมื่อไปถึงโชว์รูมได้ง่ายขึ้น เพราะการเลือกรถทั้งสามคันนั้น มีความซับซ้อนในตัว ทาง BMW จัดออพชั่นมาได้อย่างชาญฉลาด เมื่อคุณกำลังจะเลือกรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แล้วคิดว่าคันที่แพงกว่า ย่อมครบกว่า แต่หาได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ยิ่งเมื่อผมได้ขับ ก็พบหลายสิ่งที่ต่างจากที่คาดหมายเอาไว้

BMW 330Li M Sport “GRAN SEDAN”- 2,899,000THB

ข้อมูล

  • ยาว  4,819 มิลลิเมตร กว้าง 1,827 มิลลิเมตร สูง 1,442 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ  2,961 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 1,640 กิโลกรัม
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ความจุ  480 ลิตร
  • เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ B48B20B 2.0 ลิตร 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,550 – 4,400 รอบ/นาที

At a glance

สิ่งแรกที่ประหลาดใจที่สุดคือ เนื้อที่วางขาสำหรับคนนั่งข้างหลัง เพราะแม้ว่าระยะฐานล้อรวมถึงบอดี้รถจะสั้นกว่า 5 Series G30 แต่ผมสามารถนั่งเหยียดขาบนเบาะหลังได้ยาว มีเนื้อที่จากหัวเข่าถึงเบาะหน้ามากกว่ารถรุ่นพี่อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ตัวเบาะนั่งตอนหลังยังออกแบบมาให้แตกต่างจาก 3 Series Saloon รุ่น G20 โดยเพิ่มความหนาของชั้นโฟมในตัวเบาะเข้าไป ทำให้นั่งแล้วมีความรู้สึกเหมือนโซฟามากขึ้น ลักษณะการออกแบบเบาะ จะดันหลังตอนล่าง และกลาง ส่วนเบาะรองนั่งนั้น รู้สึกว่าจะมีการบุโฟมช่วงรับใต้น่องมากขึ้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว พื้นที่ส่วนเหนือศีรษะ ไม่ต่างจาก G20 (หรืออย่างน้อยก็ไม่รู้สึก)

เรื่องอุปกรณ์ คุณสามารถมองได้ 2 แง่ คุณได้พาร์ท M Aerodynamics ที่ทำให้รถดูสปอร์ตขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า ราคาก็แพงกว่า 330e ทำไมไม่เอา 19 นิ้วไปเลย เรื่องนี้แล้วแต่จะคิดครับ แต่ส่วนตัวผมมองว่า 18 นิ้วนี่ลงตัวที่สุดในแง่ความสวยงาม การใช้งาน และเหลือแก้มยางสูงไว้รับกับถนนแย่ๆของประเทศไทยได้

ที่เป็นไฮไลท์เด็ดคือหลังคา Panoramic พื้นที่กระจกยาวใหญ่กว่าหลังคามูนรูฟของ 330e และ 530e นี่คือออพชั่นที่หลายคนอยากได้มาตลอดใน 3 Series นอกจากนั้นแล้ว คุณได้หน้าปัดและจอกลาง BMW Live Cockpit Professional เหมือนพวกรุ่นท้อป และได้กล้องรอบคันเหมือน 530e M Sport แต่ในรายละเอียดกระจุกกระจิก จะแอบขาดหายไป เช่นเบาะนั่งคู่หน้าปรับความโอบของปีกเบาะไม่ได้ และแม้จะเน้นคนนั่งหลัง แต่กลับไม่มีม่านข้างตรงประตูและกระจกบานหลัง (G30 และ F30 มี แต่ G20 ไม่มี)

On track

330Li มากับช่วงล่างแบบ Comfort Spec ซึ่งไม่ใช่แบบมาตรฐานอย่างของ 320d Sport ตัวนำเข้านะครับ เจ้านั่นน่ะยังแอบแข็งติดสปอร์ตอยู่ แต่กับ 330Li นี้ มันมาแบบ Completely Soft เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่ BMW พัฒนาโช้คอัพแบบ 2 Stage (BMW เรียกว่า Lift-related damper แต่ผมจะดื้อเรียกว่า 2 Stage) ซึ่งทำให้แม้จะมีอาการยวบยาบโดยเฉพาะเวลาหักหลบไป/มาแบบรุนแรง แต่เมื่อช่วงล่างยุบตัวถึงจุดหนึ่ง มันก็จะเริ่มแข็งขืนสู้ พยายามประคองตัวรถให้ผ่านโค้งไปได้

ในสนามปทุมธานีสปีดเวย์ โค้งมุมฉาก และโค้งแคบแบบปากนก 330Li กลายเป็นรถที่ขับมันส์ที่สุดของวันนั้น อัตราเร่ง 0-100 kmh แค่แอบเอาเท้าซ้ายจมเบรกไว้ก่อนกดคันเร่งดีดออก ก็สามารถทำเวลา 6.5 วินาทีได้ เท่ากับ 530e ที่มีพลัง 292 แรงม้า จบจากด่านทดสอบความเร็ว เป็นด่านทดสอบโค้ง แม้ว่าตัวรถจะออกอาการยวบเทมาก แต่มันจะเกาะโค้งเอาไว้ ราวกับ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เกาะเฮลิคอปเตอร์ของผู้ร้ายในหนัง ..ใช่ เราจะรู้สึกได้ถึงความพยายามขืนสู้ของรถ แต่ก็ไม่หลุดโค้งครับ อันที่จริงถ้าหักพวกมาลัยแรง เข้าโค้งเร็ว และกดคันเร่งสู้ 330Li จะมีอาการท้ายออกอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้ออกมากจนอันตราย เป็นการกวาดท้ายที่ทำให้หน้ารถหันไปหาทางออกโค้งได้แบบพอดี แต่ถ้าอยากได้ดริฟท์แอ็คชั่น ปิดระบบช่วยเหลือครับ คุณได้สิทธิ์นั้นแน่นอน

การหักหลบสิ่งกีดขวางแบบซ้ายเสร็จ-ขวาต่อ ที่ความเร็วประมาณ 70 โดยไม่เบรก ตัวรถก็มีอาการยวบยาบเยอะ แต่ก็เลี้ยวไปตามทางโดยไม่ชนกรวยสักตัว สำหรับรถที่ช่วงล่างนุ่มขนาดนี้ บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่า 330Li นั้นตัวหนักกว่า 520d รุ่นพี่ของมันเสียอีก สิ่งที่มันทำได้บนสนามออกจะสนุกเกินคาดด้วยซ้ำ มันเป็นรถคันเดียวในวันนั้นที่ผมขับเสร็จแล้วหัวเราะอย่างพอใจ

On road

เครื่องยนต์ B48 ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะมีความจุแค่ 2.0 ลิตร แต่พละกำลัง 258 แรงม้านั้น เทียบได้กับรถ 3.0-3.2 ลิตรจาก 15 ปีก่อน เวลาขับแบบรีบๆ เพียงใส่โหมด Sport กระแทกคันเร่ง ก็พุ่งจาก 80 ไปถึง 120 kmh ได้ภายใน 4.6 วินาที ซึ่งเป็นเวลาระดับเดียวกับที่ผมทำได้ใน 530e ..แน่นอนว่าเปิดโหมด Xtraboost แล้วครับ เรียกได้ว่า 330i G20 แรงยังไง 330Li ก็ต่างจากนั้นเพียงเล็กน้อย สิ่งที่แตกต่างในอรรถรสเวลาเฆี่ยน ก็คือ 330Li นั้นไม่มีเสียงเครื่องยนต์แบบสังเคราะห์ มีแต่เสียงเครื่องยนต์ 4 สูบชั้นดี ทุ้ม ออกแนวจะเงียบไปเสียด้วยซ้ำ ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ฉลาดพอ แค่กด Sport ไว้ แล้วสั่งด้วยเท้าได้เลย รู้ใจจนทำให้ผมไม่จำเป็นต้องใช้ Paddle shift เพื่อเล่นเกียร์บนทางราบ คงเหลือเอาไว้เล่นเฉพาะบนภูเขาเป็นหลัก

เวลาขับแบบเรียบร้อย 330Li ก็มีแรงบิดรอบต่ำที่ดี น่าแปลกที่การตอบสนองรอบต่ำไม่ได้แย่ไปกว่าเครื่องยนต์ดีเซลเลย ช่วงล่าง Comfort Spec มอบความสบายที่คุณพ่อ คุณแม่ คุณภรรยาและลูกคุณ นั่งแล้วไม่บ่นสะเทือนแน่นอน มันเป็นความนุ่มนวลที่หายไปจาก 3 Series เป็นเวลานานแล้ว ถ้าจำไม่ผิด 3 Series ตัวสุดท้ายที่นุ่มสบายขนาดนี้คือ F30 สมัยยังนำเข้าอยู่

แต่ในความสบายนั้น ก็มีจุดที่ทำให้คุณอาจจะอยากขยับไปหา 520d M Sport อยู่ สำหรับคนที่ชอบขับเร็ว 130-140 ขึ้นไป อาการของช่วงล่างเวลาหักเปลี่ยนเลนหรือกระโดดคอสะพานโหดแบบไทยๆ ดูไม่ค่อยนิ่งเท่าที่ควร ความยวบยาบ บวกกับ Momentum ของตัวรถ ทำให้ขาดความมั่นใจไปบ้าง ถ้าคุณชอบรถรุ่นนี้ และยังชอบขับแบบเร็วๆ บางทีคุณอาจจะอยากกางแคตตาล็อก BMW Performance Parts หาโช้คที่หนืดขึ้นสักหน่อย แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณขับไปตรงๆได้ ไม่โยกเล่นวูบวาบ 330Li ก็ยังให้ความปลอดภัย ไม่เสียหลักง่ายๆหรอกครับ เพียงแต่รถมันจะบอกคุณ ว่ามันไม่ได้ชอบให้คุณทำแบบนั้น

ถ้าคุณชอบการเดินทางไกล ขับรถเอง บนถนนที่สภาพแย่ ต้องการช่วงล่างที่มั่นใจขึ้น ลองดูคันต่อไปครับ

BMW 520d M Sport – 3,539,000 THB

ข้อมูล

  • ยาว 4,963 มิลลิเมตร กว้าง 1,868 มิลลิเมตร สูง 1,479 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,961 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 1,560 กิโลกรัม
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ความจุ 530 ลิตร
  • เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ B47D20B 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

At a glance

แม้ว่าพื้นที่วางขาสำหรับคนนั่งหลังจะเป็นรอง 330Li แต่ สิ่งที่เหล่า 5 Series มีจากความ “ใหญ่ตั้งแต่เกิด” ก็คือมิติในแนวกว้าง คุณจะรู้สึกได้ว่าเมื่อนั่งขับใน G30 จะมีพื้นที่ระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าเยอะกว่า ที่เท้าแขนกว้างใหญ่กว่า เช่นเดียวกับพื้นที่สำหรับแหกแข้งขา เปลี่ยนอิริยาบทเวลาขับทางไกล ตัวเบาะนั่งก็เป็นเบาะสปอร์ตจริงแท้ ปรับปีกเบาะได้ ปรับ Lumbar Support ได้ทั้งสองตัวหน้า (อย่างหลังนี้ 330Li มีในฝั่งคนขับ) นอกจากนี้ แม้จะแพ้เรื่องที่วางขา แต่พื้นที่เหนือศีรษะของคนนั่งหลัง G30 มีเยอะกว่า เพราะตัวรถที่สูงกว่านั่นเอง ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่า จะให้ความสำคัญกับความสบายในตำแหน่งไหนมากกว่ากัน

ในด้านอุปกรณ์ติดรถ ออกจะน่าเสียดายที่ 520d M Sport จะไม่ได้ของเล่นครบถ้วนมากเท่า 530e และต่อให้เทียบกับรุ่นน้องอย่าง 330Li มันก็ยังขาดในบางจุด ไม่มีมูนรูฟให้ กล้องติดรถ มีแค่กล้องถอยหลัง ไม่ใช่กล้องรอบคัน ระบบปรับอากาศเป็นแบบ 2 Zone ในขณะที่ 330Li เป็นแบบ 3 Zone และ 530e M Sport เป็นแบบ 4 Zone และแม้ล้ออัลลอยจะมีขนาด 18 นิ้วและหน้าตาหล่อใช้ได้ แต่เมื่อมาเจอกับยางที่แก้มหนากว่า ทำให้ดูไม่หล่อเท่ารุ่นน้องถ้ามองแบบผ่านๆ

อย่างไรก็ตาม คุณยังได้ระบบ Comfort Access + ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า เครื่องเสียง Harman Kardon อีกทั้งระบบ Driving Assistant สารพัดช่วยเตือน ทั้งด้านหน้า/หลัง พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบเตินรถเป๋ออกนอกเลนและช่วยขืนพวงมาลัยสู้ และจอ HUD ซึ่งทั้งหมดนี้ รถทั้งสามคันที่ลองขับมีให้หมด แต่ด้วยภาษีของความเป็นรถรุ่นใหญ่กว่า ทำให้ 520d ได้ของบางอย่างที่เหนือกว่า 330Li เช่นกัน อาทิ คอพวงมาลัยปรับด้วยไฟฟ้า กุญแจแบบ Display Key ม่านที่ประตูและกระจกบานหลัง ประตูแบบ Soft-close และที่สำคัญคือช่วงล่างสเป็ค M Sport นั่นเอง

On track

ส่วนที่ผิดคาดก็คือ 520d ที่มีช่วงล่าง M Sport เวลาขับในสนามสั้น โค้งแคบ มันกลับไม่สนุกอย่างที่ผมจินตนาการไว้ก่อนหน้า ยางของ 520d นั้นกว้างกว่า 330Li 20 มิลลิเมตรในแต่ละคู่ แถมน้ำหนักตัวก็เรตไว้ที่ 1,560 กิโลกรัม เบากว่า 330Li อยู่ตั้ง 80 กิโลกรัม แต่ 520d กลับรู้สึกเหมือนรถ 1.7 ตันที่บังเอิญได้ช่วงล่างหนึบมากกว่า ราวกับว่าจูนการขับขี่มาให้เน้นความชัวร์ มั่น มากกว่าความสนุกสนาน ช่วงล่างเอาตัวรถอยู่หมัด ดังนั้นเรื่องการคุมตัวถังไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อเริ่มใช้ความเร็วในการเข้าโค้งเกิน Limit ในโค้งเดียวกันที่ 330Li สะบัดบ๊อบกวาดท้าย หันหน้าสู่ทางออกอย่างว่าง่าย 520d ที่เข้าเร็วเท่ากัน กลับออกอาการหน้าดื้อ หักแล้วรถไม่ยอมแล้ว และการเติมคันเร่ง ก็มีแต่ทำให้รถแถออกไปมากขึ้น

เปรียบแบบติดโอเวอร์นิดๆก็ได้ว่า 330Li เหมือนขี่เจ็ทสกี ขยับเยอะ แอ็คชั่นเยอะ สนุก แต่ 520d เหมือนสปีดโบ้ท นิ่งกว่า มั่นกว่า แต่เลี้ยววงแคบเมื่อไหร่ก็บานกว่า

เครื่องยนต์ B47 ดีเซล 2.0 ลิตร ใน 520d นั้น แม้จะแรงเหลือพอสำหรับการขับบนถนน แต่ในสนามเมื่อต้องเทียบกับรถรุ่นอื่นที่ม้ามากกว่า 250 ตัว 520d ที่มี 190 แรงม้าก็กลายเป็นแป้ง Naan จืดๆไปสนิท อัตราเร่ง 0-100 ในด่านทดสอบความเร็ว ต่อให้จมเบรก Spool คันเร่งก่อนดีดออก ก็ยังมี 8.7 วินาที ถ้ากดออกเฉยๆเลยมี 9.27 วินาที น่าแปลก ทั้งที่ 320d ก็ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน น้ำหนักก็ต่างกันไม่ถึง 50 กิโลกรัม แต่ 520d ดูเหมือนจะออกตัวไปอย่างสุภาพ มีหยุดคิดนิดหน่อยก่อนพุ่งตัวออกไป ตามด้วยแรงดึงแบบทันทีอย่างของเครื่องดีเซล แต่เมื่อหมดเกียร์ 2 ที่เหลือ รถเบนซินกับรถปลั๊กก็แซงไปแบบยาวๆ ตามแรงม้าครับ

ในการทดสอบหักหลบสิ่งกีดขวาง จุดนี้ 520d ทำคะแนนคืนมาได้หน่อย เพราะช่วงล่าง M Sport ที่จูนมาแบบเอาโต้บาห์น เน้นความเร็วสูง มีความหนืดในตัวมากกว่า 330Li ประกอบกับแรงเหวี่ยงขณะหักหลบไม่มากเท่าการเข้าโค้งหักศอก ทำให้ 520d ผ่านมาได้ด้วยดี ถ้าคนนั่งหลังกำลังทาลิปสติกอยู่ หลังหักหลบเสร็จ She อาจจะได้ปากโจ๊กเกอร์มา และแค่นั้น ไม่มีใครหัวโขกเสา C-pillar แน่นอน

On road

แม้จะไม่ค่อยสนุกในสนาม แต่เมื่อออกถนนใหญ่ 520d ก็ฉายแววความเป็น Autobahn Cruiser ของมันออกมาอย่างน่าประทับใจ ช่วงล่าง M Sport ใน 5 Series นี้ ไม่ได้เน้นความแข็งแบบวัยรุ่น แต่เหมือนเอาช่วงล่างแบบมาตรฐานมาปรับปรุงเพื่อให้รองรับการวิ่งทางไกลด้วยความเร็วได้ดีขึ้น พุ่งมาเร็วๆแล้วเจอรถเปลี่ยนเลนแบบไม่น่ารักออกมาขวาง คุณหักหลบได้อย่างมั่นใจ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ระหว่างที่ผมขับ

การที่เราวิ่งทดสอบเส้นทางเดียวกันในรถทุกรุ่น ทำให้สังเกตอาการตัวรถได้อย่างชัดเจน จุดที่ 330Li มีเสียววาบนิดๆ 520d ไปแบบเฉยๆเหมือนจิบชายามบ่าย ช่วงความเร็วก่อน 100 อาจจะไม่ชัดนัก แต่ 120 ขึ้นไป “Stability” คือสิ่งที่ 520d มีเหนือกว่ารุ่นน้องอย่างชัดเจน ยิ่งเร็วยิ่งรู้สึก ยิ่งโดดคอสะพานห่วยๆ รู้สึกได้ว่าบอดี้รถยืด/ยวบ ทีเดียวแล้วหยุด และที่ความเร็ว 120 นั้น ทุกอย่างก็กำลังสบาย ทว่าในช่วงความเร็วต่ำ ถ้าถนนขรุขระ จะรู้สึกถึงความสะเทือนอยู่บ้าง เหมือนรถโช้คแข็งประมาณนึง แต่ได้ยางแก้มหนามากรองกรวดกรองความรู้สึกขรุขระไปบ้าง

190 แรงม้า วิ่งในแทร็คเป็นอย่างไร เวลาเร่งแซง ก็เป็นอย่างนั้น ผมคงไม่เรียกอัตราเร่งแซง 80-120 ประมาณ 6.4 วินาทีว่าช้า แต่ในเมื่อผมขับคันนี้ต่อจาก 330Li ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องบอกว่ายังไงรุ่นน้องก็แซ่บกว่า คุณคงต้องเลือกเอา ในที่ที่ต้องใช้พลัง 330Li ชนะ แต่เมื่อคุณไม่ต้องใช้พลัง แต่ต้องขับแบบยาวๆ (แต่ทำเวลา) ในฐานะคนขับ ผมรู้สึกว่า 520d M Sport สบายตัว เกร็งน้อยกว่า

BMW 530e M Sport – 3,739,000 THB

ข้อมูล

  • ยาว 4,963 มิลลิเมตร กว้าง 1,868 มิลลิเมตร สูง 1,479 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,961 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 1,770 กิโลกรัม
  • ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ความจุ 410 ลิตร
  • ขุมพลัง Plug-in Hybrid
  • เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ B48B20A 2.0 ลิตร 184แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,000 รอบ/นาที
  • มอเตอร์ไฟฟ้า 52 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ 12 kWh
  • พละกำลังรวม (เปิด xTraboost) 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร

At a glance

“ครบ” คือคำจำกัดความที่ผมมีต่อ 530e M Sport ในร่าง LCI นี้ ซึ่งปรับเพิ่มจากโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์มาก เพราะใส่อุปกรณ์มาจนเชื่อว่าลูกค้าหลายคนพอใจ นอกจากจะมีแรงม้าเพิ่มมา 40 ตัวแล้ว ยังได้ช่วงล่างแปรผันความหนืดอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนเมืองนอกแนะนำมานานแล้วว่าจะใช้ 530e ควรสั่งออพชั่นนี้ มีระบบเลี้ยว 4 ล้อ เพิ่มระบบ Driving Assistant รวมถึง Adaptive Cruise Control ที่แปรผันความเร็วและ Stop & Go เครื่องปรับอากาศ 4 Zone แล้วทั้งหมดนี้ มาในราคาที่ถูกลงกว่ารุ่นก่อน 200,000 บาท..

ราวกับว่า BMW Thailand ตั้งใจทำรถ Plug-in ของพวกเขาให้มีความน่าซื้อมากขึ้น เพราะคุณได้อุปกรณ์ทุกอย่างที่ 520d M Sport มี ได้เบาะเหมือนกัน นั่งสบายเท่ากันทุกมิติ แล้วบวกออพชั่นข้างบนนี้เข้าไป แล้วราคาของ 530e M Sport เองก็แพงกว่า 520d แค่ 200,000 บาท จากเดิมที่เราคิดว่าเอาดีเซลดีกว่า แล้วเอาส่วนต่างไปเติมน้ำมัน คราวนี้ แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจในแง่พลังขับเคลื่อน EV Mode หรือสิ่งแวดล้อมมาก่อน ก็ต้องมีแอบมองบ้างล่ะ

On track

เซอร์ไพรส์ที่สามของวัน เกิดขึ้นใน 530e M Sport เพราะความสนุกในสนามมันเกิดคาด ผมยังมีภาพจำของโมเดลก่อน LCI ซึ่งเป็นช่วงล่างสปริง+โช้คอัพที่เน้นนุ่มเกินไปจนบู๊ไม่สนุก เหมือนรถอยากจะวิ่งตรงๆอย่างเดียว แต่กับรุ่น LCI ด้วยช่วงล่าง Adaptive ของมัน ต่อให้วิ่งอยู่ในโหมด Hybrid ปกติ เมื่อคุณบู๊ มันก็รู้ แม้จะทำท่ายวบยาบในตอนแรก แต่ช่วงล่างก็จะแอบพยายามปรับความหนืดรับ แม้ว่าคุณจะไม่ได้กดปุ่ม “Adaptive” ก็ตาม

และถ้าใส่โหมด Sport ล่ะก็ มันจะกลายร่างเป็นรถขนาดใหญ่ที่ขับคล่องได้อย่างประหลาด เจอโค้งแคบเข้าเร็ว ด้วยสปีดเท่ากัน หักพวงมาลัย ส่งคันเร่งเท่ากัน 520d จะหน้าแถออกนอกไลน์ 530e กลับหักเลี้ยวไปตามทางที่ควรได้เหมือนรถไฟบนราง เมื่อกดคันเร่งเพิ่ม มีอาการท้ายออกนิดๆ แต่ไปด้วยบอดี้ที่ยวบน้อยกว่าใคร ขับแล้วกลับกลายเป็นรู้สึกว่ารถเบากว่า 520d สัก 200 กิโลกรัมทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย! มันอาจจะไม่สนุกแบบพระเอกโหนตัวจากเฮลิคอปเตอร์แบบเจ้า 330Li แต่เป็นบาลานซ์ที่ลงตัวสุด ระหว่างความมั่นใจ ความสะใจ และความปลอดภัย ระบบเลี้ยวสี่ล้อ ทำให้เวลาเจอโค้งยูเทิร์นสปีดต่ำไม่ต้องหักพวงมาลัยมากเท่า 520d อีกด้วย แต่ยิ่งใช้ความเร็วสูงมาก ความต่างจะน้อยลง อาจจะเป็นเพราะจริงๆแล้ว พวงมาลัยแบบมาตรฐานของ BMW ก็เซ็ตมาได้ดีอยู่แล้ว

แม้แต่เวลาหักหลบสิ่งกีดขวาง ที่ที่ผมคิดว่าน้ำหนักของรถจะมีผลแน่ๆ แต่ก็เปล่า มันเลี้ยวหลบกรวยได้คล่องยิ่งกว่า 520d และยังคุมอาการของตัวรถได้ดีกว่าจนผมงงเหมือนกัน มันเป็นรถ Plug-in ที่แบกแบตเตอรี่ไม่ใช่หรือ ทำไมขับไม่เหมือนกับแบกถ่านอยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย แล้วขนาดยาง แม้แก้มจะเตี้ย แต่ความกว้างหน้ายางก็ 245 กับ 275 เท่ากับ 520d นั่นล่ะ

อัตราเร่งในด่าน 0-100 ทำได้ 6.5 วินาที ด้วยแบตเตอรี่ที่เหลือน้อยนิด (อันที่จริง รถ Plug-in ที่แบตเตอรี่โต แม้เหลือเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่น้อยแต่ก็พอสำหรับการทำอัตราเร่งโดยไม่ทำให้รถช้าลง) หรือถ้าไม่ใช้เทคนิคอะไร กดออกไปดื้อๆเลย ก็ยังมีระดับ 7 วินาที พลังมอเตอร์ช่วยดีดรถออกอย่างรวดเร็ว ไม่มีคำว่ารอ ยิ่งถ้าปิด Traction Control แล้วเบิร์นออก มันจะเผายางจนคุณไม่คิดว่านี่คือรถสำหรับผู้ใหญ่ จริงๆพละกำลัง ก็เป็นจุดเด่นมาตั้งแต่รุ่นก่อน LCI แล้ว แต่เมื่อแรงมันมากขึ้น ช่วงล่างมันดีขึ้น ก็ไม่รู้จะติตรงไหนอีก

On road

ความน่ารักของ 530e M Sport คือ ในแทร็คเป็นยังไง ไปวิ่งบนถนนก็เป็นอย่างนั้น ช่วงล่าง Adaptive ไม่ใช่ช่วงล่างที่พอปรับ Sport Mode ปุ๊บก็สักแต่แข็งเอามันส์ ตรงกันข้าม ถ้าถนนไม่ได้ขรุขระมาก แม้อยู่ใน Sport Mode มันก็ยังนุ่มกว่าโช้คอัพแบบตายตัวของ 520d จนกระทั่งคุณเริ่มใช้ความเร็วหรือหักพวงมาลัย มันค่อยพยายามแข็งขืนสู้ นี่คือการใช้ข้อได้เปรียบของโช้คอัพไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า ส่วนระบบเลี้ยว 4 ล้อนั้น เมื่อใช้ความเร็วสูง จะไม่ค่อยแสดงความแตกต่างเท่าไหร่นัก ความไว และน้ำหนัก ทำให้ขับเดินทางไกลได้สบายมือ แต่ถ้าเป็นถนนแบบ B Road ที่คดเคี้ยว ผมรู้สึกชอบการทำงานของพวงมาลัยประเภท Variable Ratio Rack มากกว่าระบบเลี้ยว 4 ล้อนิดหน่อย

การเร่งแซง ทำได้ไวพอๆกันกับ 330Li ที่ตัวเบาเพรียวลมล้อเล็กกว่า แต่คาแร็คเตอร์จะต่างกัน ใน 330Li เมื่อคิกดาวน์ 100% จะแรงต่อเนื่องคงที่ ส่วน 530e ในโหมด xTraboost จะกระชากออกก่อน แล้วค่อยๆลดแรงดึงลงนิดๆ แต่ถ้าถามว่าใครสนุกกว่าบนถนน แน่นอนว่า 530e ครับ เพราะคุณได้ทั้งพลังแรงกล้า และช่วงล่างที่ปราบพลังนั้นอยู่หมัด จะมีอยู่อย่างเดียวที่ผมยังไม่ชอบ คือการตอบสนองของแป้นเบรก ซึ่งเวลาเหยียบแรงกระทืบให้หยุด มันจะไม่มีปัญหา แต่ในการขับปกติ จะรู้สึกแป้นเบรกเบาเท้าไป บางทีกดไปแล้วรถไม่ค่อยชะลอ ต้องกดเพิ่ม อาการเดียวกับรุ่นก่อน LCI ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม

สรุปคาแร็คเตอร์ผู้เล่นแต่ละตัว

330Li M Sport – ตัวเล่นเน้นคุ้มแบบงบไม่บานปลาย

พละกำลังที่เหลือเฟือ อาจจะถูกใจวัยรุ่น ด้วยการอัปเกรดช่วงล่างสักหน่อย มันจะเป็นรถที่ขับสนุกครบทุกมิติ ในขณะที่คนทั่วไปไม่เน้นซิ่ง ก็สามารถมีความสุขไปกับช่วงล่างนุ่มนวล เจอถนนขรุขระก็ไม่ค่อยสะเทือน พื้นที่เหยียดขาเบาะหลังเหลือเฟือ เป็น 3 Series แสนสบายที่เซฟเงิน 640,000 บาทเมื่อเทียบกับ 520d คุณได้หลังคากระจกใหญ่ แต่อุปกรณ์จะไม่ครบครัน แอบขาดบางจุด ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะรับได้เมื่อเทียบกับค่าตัวรถ

520d M Sport – Cruiser สำหรับนักธุรกิจที่ชอบขับรถไปดูแลกิจการต่างจังหวัด

เบาะหน้าปรับปีกได้ มีพื้นที่สำหรับคนนั่งหน้าเยอะกว่า 330Li บวกกับช่วงล่าง M Sport ที่จูนมาดีสำหรับการขับความเร็วสูง มั่นคงกว่า 330Li เช่นกัน พลังเครื่องยนต์ดีเซลอาจจะไม่ได้แรงสะใจเท่าตัวเลือกอื่น แต่เป็นเครื่องยนต์ที่มีใช้แพร่หลาย ไว้ใจได้ เป็นขวัญใจของคนที่ยังไม่อยากใช้รถ Plug-in เศรษฐีผู้ชื่นชอบการขับรถเอง..ไม่ได้จะแข่งกับใคร แต่ต้องการรถที่มีพลังมากพอพิชิตทุกภูเขา ชอบเติมน้ำมันแล้ววิ่งตียาวไกลๆ ความประหยัดเชื้อเพลิงดีตามแบบดีเซล BMW แต่ดูรายการอุปกรณ์ติดรถด้วยว่า มันมีทุกอย่างที่คุณต้องการครบหรือไม่

530e M Sport – แพงที่สุด แต่ในทุกหัวข้อคือจบ ถ้าคุณยอมคบรถ Plug-in

ความแรง? เหลือเฟือ! ช่วงล่าง? เยอรมันแท้แถมแอบสนุกได้ด้วย อุปกรณ์? ครบกว่านี้คงต้อง 7 Series แล้วล่ะ ถ้าคุณชอบรถเสียบปลั๊กอยู่แล้ว และมีงบพอจะเอื้อมถึง 530e M Sport คือรถที่มีพรสวรรค์ “กว้าง” รองรับงานได้หลายแบบ หลายอารมณ์ ใช้รับคนที่รักไปทานข้าว ใช้ซัดเล่นทางด่วนแก้เหงา กลับบ้านดึกก็เปิด EV Mode แล้ววิ่งเงียบๆเข้าบ้านโดยไม่ปลุกใครตื่น สำหรับคนที่ใช้ในเมืองคุณได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเต็มๆอีกด้วย

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments