Dimitri Vegas and Like Mike-DJ ระดับโลกกับการทำงานเป็น “ทีม” ที่ “เวิร์ก”

ทาง BMW Global ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ CNN ได้จัดทำชุดซีรีส์ Youtube Video ชื่อ “Art of Leadership” ซึ่งเชิญบุคคลสำคัญจากหลากหลายวงการในยุคนี้มาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราว ประสบการณ์ชีวิต ซึ่งมีผลทำให้เขาและเธอเหล่านั้นเกิดแรงบันดาลใจในการเดินหน้าทำสิ่งที่ตนเองศรัทธา แต่ Video แต่ละชุด จะมีการโฟกัสไปที่ความสอดคล้องระหว่างบุคคล และแนวทางปฏิบัติของผู้นำในความเชื่อของ BMW ซึ่งได้แก่ ความรับผิดชอบ ความแข็งแกร่งทางจิตใจ และความเป็นอิสระ สำหรับคลิปล่าสุดนี้ แขกรับเชิญคือ DJ Dimitri Vegas และ Like Mike

Dimitri Vegas กับ Like Mike คือคู่ DJ Duo EDM พี่น้องซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับโลก การเปิดคอนเสิร์ตและเสียงเพลงของพวกเขานั้น มีจุดเด่นจากการใช้ส่วนผสมระหว่างความเปลี่ยนแปลงในท่วงทำนอง จังหวะ ตลอดจนความแม่นยำในการใส่องค์ประกอบทางเสียงเข้าไป ว่ากันว่าเพลงของ Duo คู่นี้ สามารถปลุกอารมณ์ของผู้ฟังได้ประหนึ่งการนั่งในรถ แล้วกดคันเร่งออกตัวจาก 0-100

นามจริงของทั้งสองคนนี้ คือ Dimitrios Anastasios Thivaios และ Michael Thivaios ถ้าฟังดูเหมือนกรีก แสดงว่าความรู้คุณดีมาก เพราะทั้งสองคนเกิดที่ประเทศกรีซ แล้วพออายุได้ประมาณเด็กมัธยมปลาย ทั้งสองคนก็เริ่มหลงใหลและศึกษาดนตรีแนว Electronics จากนั้นก็ย้ายจากบ้านเกิด ไปอยู่ที่เกาะ Ibiza ประเทศสเปน ภายในเวลาไม่กี่ปี ทั้งสองก็มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นิตยสาร DJ Mag ของอังกฤษขนานนาม Duo คู่นี้ว่าเป็น “Most popular DJs in the world” ถึงสองครั้งคือในปี 2015 และ 2019

ในขณะที่กำลังอยู่ใน BMW M8 เดินทางไปงาน Winterland Festival ในประเทศนอร์เวย์ ทั้งคู่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจของพวกเขา

Mike ตอบว่า “อย่างแรกเลย สิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจของเรา ก็คือความทรงจำจากการใช้ชีวิตในยุค 80s กับ 90s ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เราเป็นเด็กกำลังโตนั่นล่ะครับ ความทรงจำพวกนี้ ก็รวมถึงหนังดังๆ เอกลักษณ์ของเพลงในยุคนั้นก็น่าจดจำ คุณคงสังเกตได้ว่าเพลงจากยุคนั้นหลายเพลงเลย ยังถูกเอามา Remix ในยุคนี้ แล้วมันก็น่าฟัง นอกจากนี้ ความทรงจำดีๆยังมีอีกหลายอย่างครับ วิวทิวทัศน์ที่เราชอบ การได้เที่ยวในวันหยุด และที่สำคัญก็คือความทรงจำหลังพวงมาลัยของพวกเราครับ”

Dimitri เสริมให้อีกว่า “นอกจากความทรงจำจะเป็นตัวปลุกใจเราแล้ว มันยังมีอีกอย่างนะครับ นั่นก็คือการพยายามรักษาสมดุลของคุณภาพงาน ผมเชื่อว่าคนเราต้องเฟ้นหาความรู้เพิ่มเติม ลองสิ่งใหม่ๆ แล้วเอามาใช้ในงานของเรา อย่างเวลาขึ้นงาน DJ แต่ละเวที พวกเราก็จะพยายามหาสิ่งใหม่ๆมาลองเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อย แต่ในขณะเดียวกัน ผมว่าเราก็ต้องไม่ลืมว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของเรา แล้วจะทำยังไงไม่ให้ลืมล่ะ? เราก็ต้องมีความคิดในหัวตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไร นั่นจะเป็นใจความที่เราจะถ่ายทอดให้คนอื่นเขารู้”

อย่างต่อมาก็คือ ผู้ชมและแฟนเพลง ทั้งสองคนจะขึ้นเวทีและปล่อยงานอย่างสุดฝีมือ ด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาไม่ได้มางานในฐานะคนดังแล้วคนดูมีหน้าที่แค่ “ฟัง” แต่พวกเขากับคนดู มีความรู้สึกที่ต้องลื่นไหลไปด้วยกัน Dimitri กับ Mike จะมอบประสบการณ์พิเศษ “เหมือนว่าเราจะทำเพลงมามอบให้เป็นของขวัญสำหรับพวกเขาเป็นรายบุคคลเลยก็ว่าได้”

นั่นเป็นความคิดที่ใช้ได้เลย แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำงานแบบคู่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การคิด แล้วก็ทำ หากคุณทำงานทั้งหมดของคุณด้วยสองมือของตัวเอง คุณกุมอำนาจการตัดสินใจได้ทุกอย่าง แต่ถ้าต้องทำงานกับคนอื่น แล้วหากความเห็นของคุณไม่ตรงกันล่ะ?

“ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงานอย่างเรา” Mike ตอบ “เราทำงานแบบที่ต้องใช้ความคิด และบางครั้งเราก็คิดไม่ตรงกัน ก็ต้องยอมกันบ้างถ้าอยากให้งานเสร็จเร็ว หลักในการทำงานของผมก็คือ เราจะไม่ถามตัวเองว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่เปลี่ยนเป็น “ผมทำอะไรเพื่อช่วยเขาได้บ้าง” และ “อะไรบ้างที่ผมอยากทำ” ถ้าสองข้อนี้มีอันไหนที่มันตรงกัน ก็สิ่งนั้นแหละที่เอาไปใช้ทำงานได้ เราโฟกัสที่จุดนั้น ในแต่ละเพลงของเรานั้น สิ่งที่เราอยากทำทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่ออีกฝ่าย มันจะมาผสมกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้างก็ได้ ถ้ามีเพลงจังหวะดีๆสักท่อน เราต่างจะช่วยกันคิดว่าจะใส่อะไรลงไปให้มันดีขึ้นได้อีก แล้วก็ทำจนงานมันออกมาดีที่สุด”

คนภายนอกอาจจะคิดว่าพี่น้องคู่นี้ทำงานด้วยกันตลอด แต่แท้จริงแล้วพวกเขาต่างคนต่างแยกกันทำจากคนละแห่ง แต่ส่งตัวอย่างไฟล์หรือคุยกันอยู่ตลอด และเมื่ออีกฝ่ายฟังก็จะวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา และดนตรีท่อนหนึ่งจะออกมาได้สำเร็จก็ต่อเมื่อทั้งคู่โอเคกับมัน Dimitri เล่าว่า “เวลาเราคิดจะทำอะไรสักอย่างเป็น Project เราจะผลัดกันเป็น Project Leader บางครั้งก็ผม บางครั้งก็ Mike แต่ในท้ายสุด เพลงที่ออกมาจะต้องมีความต้องการ มีเอกลักษณ์ของเราทั้งสองคนอยู่ในเพลงนั้น แน่นอนครับว่าทำงานเป็นคู่ เราก็ต้องยอมฟังความเห็นอีกฝ่ายบ้าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าจะทำงานให้ได้ดี เราก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ”

และผลงานของพวกเขาก็พิสูจน์แล้วว่า ทำงานเป็นทีม คิดแบบทีม ทุกคนเป็นดาวที่เปล่งแสงเท่ากัน คือวิธีที่ได้ผล

โดยสรุป แนวคิดเพื่อการสร้าง “Art of Leadership” จาก Dimitry กับ Mike ในการทำงาน ซึ่งเหมาะกับการประยุกต์ไปใช้ในชีวิตปัจจุบันของพวกเรา ก็คือ

  • มีความทรงจำที่ดีในวัยเด็ก เป็นแรงบันดาลใจ เพราะความจำดีๆที่อยู่ในหัวเราได้นานที่สุด มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและวัยรุ่นของเรา
  • แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความทรงจำดีๆให้นึกถึง ถ้าเป็นแบบนั้น ให้นึกถึงสิ่งที่งานของคุณจะก่อให้เกิด คุณทำงานออกมาแล้วมันทำให้ใครรู้สึกดี รู้สึกสนุก ให้คุณโฟกัสพลังจากการมอบความทรงจำที่ดีให้คนอื่นด้วยพลังของคุณ
  • ค้นคว้าสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง งานจะมีการพัฒนา แต่ต้องไม่ลืมว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของตัวเอง
  • เมื่อทำงาน ต้องรู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร แต่ถ้าทำงานเป็นทีม ต้องรู้จักให้คนอื่นได้มีโอกาสใส่ความต้องการของพวกเขาลงไปในงานเท่าๆกับเรา
  • ถ้าคิดไม่ออกว่าจะเริ่มยังไง ให้เริ่มจากการถามตัวเอง ว่าอะไรที่เราชอบ ต่อมาก็คือ ในบรรดาสิ่งที่เราชอบ มีอะไรบ้างที่นำไปเป็นแรงผลักดันให้ทีมได้ ให้เริ่มทำตรงนั้นก่อน

สำหรับการปลดปล่อยความรู้สึกผ่านเสียงเพลง Dimitri อธิบายว่า “ในเพลงสไตล์ Electronic นั้นจะมีส่วน High point ของเพลง..คล้ายๆกับคอรัสในเพลงทั่วไป แล้วก็จะมีช่วง Drop ที่เสียงเพลงและองค์ประกอบต่างๆจะเบาลง แล้วก็ค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น จนท้ายสุด ก็เหมือนระเบิดทุกอย่างออกมา เสียงเพลงในจังหวะแบบนี้ จะกระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้น..เหมือนเรากำลังรออะไรให้เกิดขึ้นสักอย่าง ผมว่าฟีลลิ่งมันเหมือนกับตอนผมขับ M8 Gran Coupe คันนี้ จอดนิ่งๆ แล้วกำลังจะกดคันเร่งเต็มๆออกตัว อารมณ์มันต้องมา จังหวะมันต้องได้ ถ้ามันออกมาลงตัว ก็วิเศษเลย”

พอ Dimitri พูดจบ Mike ซึ่งสลับกันขับ M8 ก็หันมามอง Dimitri แว่บนึง ยิ้ม แล้วก็ฟลอร์คันเร่ง ทั้งคู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำให้เราได้หัวเรื่องที่จะสัมภาษณ์เป็นเรื่องสุดท้ายว่าพวกเขาชอบรถแบบไหน

Mike ตอบในทันทีว่า “BMW ครับ มันได้ทั้งหรู และความสปอร์ต พวงมาลัยตอบสนองดี ถ้าจะหารถที่ได้ทั้งความสบายและขับเพลินก็ต้องค่ายนี้แหละครับ” ทั้งคนพี่และน้อง ชอบ BMW หลายคัน รวมไปถึง BMW i8, X5 และ M8 ซึ่ง Dimitri บอกว่า “ผมชอบ 8 Series Convertible ครับ ผมคิดว่ามันเกิดมาเพื่อขับรับลมหน้าร้อนที่เกาะ Ibiza เลยทีเดียว แต่ผมขับแบบไม่รีบนะ ..รู้ครับ ว่ารถมันแรง แต่ผมชอบขับแบบไปเรื่อยๆให้มันสบายใจมากกว่า ในหลายครั้งเราจะเอาเพลงที่เรากำลังปั้น มาทดสอบฟังในรถ เพราะมันเป็นที่ซึ่งเราได้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ไม่มีใครมายุ่ง บางทีรถมันก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราขับไปยังจุดหมาย ตัวมันเองก็ช่วยให้เราปลีกวิเวกแล้วอยู่กับสิ่งที่เราต้องการรับรู้ก็ได้”

ก็คงไม่แปลก ถ้าทั้งสองคนจะไม่ได้ขับรถแบบกระแทกคันเร่งตลอดเวลา ในเมื่อพวกเขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่สร้างอัตราเร่งทางจิตใจให้กับหูของผู้ฟังทั่วโลกอยู่แล้ว รถจึงเปรียบเสมือนที่พักกายและใจของพี่น้องคู่นี้ เพียงแต่ว่าเมื่อมันเป็นรถอย่าง BMW M8 ถ้าวันไหนพวกเขาคิดจะลุกขึ้นมาสนุกกับการขับ รถ..จะพร้อมสำหรับความต้องการของพวกเขาเสมอ

Photos: BMW, CNN; ผู้เขียนต้นฉบับ: Markus Löblein แปลและเรียบเรียงใหม่โดย Pan Paitoonpong

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments