14 กรกฏาคม ฺ BMW AG เปิดตัว BMW iX3 เป็น SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของ BMW และเป็นรถยนต์ EV 100% ที่ผลิตออกขายจริงรุ่นที่สองต่อจาก BMW i3 มันยังทำให้ BMW X3 เป็นรถรุ่นแรกของแบรนด์ (และอาจจะของโลก) อีกเช่นกันที่มีตัวเลือกขุมพลังครบให้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งเบนซินและดีเซล ปลั๊กอินไฮบริด และไฟฟ้า 100% วันนี้ Bimmer-th พาคุณผู้อ่านไปชม SAV รุ่นใหม่คันนี้กันครับ
ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกยังคงเป็น BMW X3 ที่เราคุ้นเคย แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางจุดตามลักษณะขุมพลังที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มกันที่กระจังหน้าไตคู่ที่ปิดจนเกือบทึบ เหลือไว้เพียงช่องว่างเล็กๆ ตรงส่วนล่างของกระจังเอาพร้อมเสริมกรอบด้วยสีฟ้า เนื่องจากไม่ต้องใช้อากาศไประบายความร้อนให้เครื่องยนต์ แต่ยังคงต้องระบายความร้อนให้ระบบเบรกและชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่ ด้านในของกระจังจะมีแผ่น Flap ที่ควบคุมการเปิดปิดได้ 10 ระดับ ซึ่งจะปรับปริมาณและทิศทางของการไหลของอากาศไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ต้องการโดยอัตโนมัติ
กันชนหน้ามีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ด้วยแนวคิดลักษณะเดียวกันด้วยช่อง Air Curtains ที่ปลายของกันชนแต่ละด้าน ซึ่งจะส่งลมออกนอกซุ้มล้อ โดยทำงานร่วมกับล้ออัลลอยลาย V-spoke ขนาด 19” ที่ออกแบบมาให้ลดแรงต้านอากาศ ทำให้ BMW iX3 มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำกว่าการใช้ล้ออัลลอยแบบปกติ 5% และทำให้ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งเพิ่มขึ้นถึง 10 กิโลเมตร ในขณะที่ด้านท้ายนั้นมีแผ่นปิดสีฟ้าครอบทับไปบนแผงดิฟฟิวเซอร์ใต้กันชนหลัง เพราะว่าพอเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับปลายท่อไอเสียอีกต่อไป
ก้าวเข้ามาสู่ในห้องโดยสารซึ่งแม้ว่าบรรยากาศจะดูคุ้นเคย โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นเจ้าของ BMW X3 และ BMW X4 รุ่นปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ก็มีรายละเอียดหลายจุดที่บ่งบอกชัดเจนว่านี่คือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตั้งแต่ปุ่ม Start/Stop โลโก้ BMW บนพวงมาลัย คันเกียร์อัตโนมัติ ที่จะมีทริมสีฟ้าเสริมเข้าไป เช่นเดียวกับแผงคอนโซลกลางและแผ่นกันรอยที่ขอบประตูที่มีโลโก้ BMW i ประทับไว้ ระบบการแสดงผลต่างๆ ไม่ว่าจำเป็นจอควบคุมกลางหรือมาตรวัดก็ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับ BMW iX3 มากขึ้น แม้แต่ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) ก็ถูกตั้งค่า Default ไว้เป็นสีฟ้า
Fifth generation eDrive Technology
![](http://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2020/07/Bimmer-th_BMW_iX3_004-1024x682.jpg)
BMW iX3 ใช้เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าใหม่ล่าสุด “Fifth generation eDrive technology” ซึ่งประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ปล่อยออกมาเต็ม 100% ตั้งแต่ 400 รอบ/นาที กับเกียร์อัตโนมัติ 1 จังหวะ ที่ถูกดีไซน์ให้รวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกัน มันทำอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 6.8 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่รุนแรงจนไม่อยากจะเชื่อที่ 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนการส่งกำลังนั้นถูกส่งไปที่ล้อหลังเพื่อคงบุคลิกการขับแบบ BMW ขนานแท้เอาไว้
เทคโนโลยี eDrive รุ่นที่ 5 ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าของ BMW iX3 ไม่ต้องใช้แร่โละหายากมาเป็นส่วนประกอบในการผลิต และแบตเตอรี่ก็สามารถลดการใช้แร่โคบอลต์ (Cobalt) ลงได้ถึงสองในสาม ในขณะที่สิ่งที่เรียกว่า “Gravimetric energy density” หรือความหนาแน่นของพลังงานไฟฟ้าในเชิงมวลเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งถ้าจะพูดกันให้เข้าใจง่ายๆ มันก็เหมือนกับตอนคุณเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางได้ 10 ชิ้น แต่ถ้าให้ภรรยาคุณเป็นคนดำเนินการ เธอก็จะสามารถยัดเสื้อผ้าลงไปเพิ่มในกระเป๋าใบเดิมได้อีก 2 ตัว แม้ว่าอาจจะต้องกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระเป๋าแล้วก้มตัวลงมารูดซิปเพื่อล็อคมันก็ตาม โดยเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้กับ BMW iX3 เป็นรุ่นแรก และ BMWก็มีแผนที่จะนำไปใช้กับ BMW iNEXT และ BMW i4 ที่มีแผนจะเปิดตัวในปี 2021 อีกด้วย
![](http://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2020/07/Bimmer-th_BMW_iX3_001-1024x576.jpg)
ผลที่ได้กับ BMX iX3 ก็คือ แบตเตอรี่ที่ความจุเพิ่มขึ้นเป็น 74 kWh ซึ่งใหญ่โตมโหฬารที่สุดเท่าที่ BMW เคยใส่มาในรถของตนเอง และต่อให้เทียบกับโลกของ EV แล้วก็ยังใหญ่อยู่ดี เพราะมันอยู่ในช่วงเดียวกันกับ Tesla Model X รุ่นกลางๆ แต่มีขนาดแพ็คเกจเล็กลง ทำให้มันสามารถสอดลงไปใต้พื้นห้องโดยสารได้โดยที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนพื้นที่ส่วนอื่นๆ นั่นจึงหมายถึงว่าพื้นที่วางขา พื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่ในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถยังมีขนาดกว้างขวางกว่า BMW X3 xDrive30e แบบปลั๊กอินไฮบริด แต่ยังเล็กกว่า BMW X3 xDrive20d รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่เล็กน้อย
ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ของ BMW iX3 ใช้เทคโนโลยีที่การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด มันจึงสามารถใช้เดินทางได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP ในยุโรป…ซึ่งอาจไม่ตรงกับชีวิตจริงโดยเฉพาะในเมืองที่อุณหภูมิเฉลี่ย 30++ องศาเซลเซียส และรถติดหนับ) การชาร์จจาก 0-100% จะใช้เวลาประมาณ 7.5 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จผ่าน Wallbox ที่กำลังไฟ 11 kW แต่ตัวรถสามารถรองรับกำลังไฟในการชาร์จได้สูงสุดถึง 150 kW จากสถานีชาร์จไฟเร่งด่วน ซึ่งจะชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-80% ได้ภายใน 34 นาที หรือถ้าในเวลาเร่งรีบ การชาร์จเพียง 10 นาที ก็จะได้ระยะทางกลับมา 100 กิโลเมตร
![](http://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2020/07/Bimmer-th_BMW_iX3_012-1024x768.jpg)
มันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า BMW Connected Charging ที่คำนวณเส้นทางที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงระยะทางของแบตเตอรี่และจำนวนสถานีชาร์จระหว่างทางด้วยข้อมูลจากระบบนำทาง ซึ่งนอกจากจะช่วยวางแผนการเดินทางให้แล้ว ตัวรถก็ยังเอาข้อมูลที่ว่าไปปรับระดับการชาร์จไฟกลับขณะชะลอความเร็วหรือเบรก (Brake Energy Regeneration) เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการขับ ณ เวลานั้นๆ อีกด้วย
ส่วนตัวแล้วผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เทคโนโลยีแห่งอนาคตจะพร้อมใช้ในชีวิตจริงก็ต่อเมื่อมันเริ่มผสมผสานเข้ากับวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้อย่างไม่มีอะไรแปลกพิสดารหรือเด่นออกมาเป็นหนามแหลม และ BMW iX3 ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เราได้เดินทางมาถึงจุดนั้นแล้ว
![](http://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2020/07/Bimmer-th_BMW_iX3_008-1024x683.jpg)
Bimmer-th
![](https://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2021/01/19225921_10154607637820976_5168613338906502597_n-150x150.jpg)
![](https://bimmer-th.com/wp-content/uploads/2021/01/19225921_10154607637820976_5168613338906502597_n-150x150.jpg)