รีวิว BMW 630d GT M Sport​ ชายหนุ่มมาดเท่ห์ผู้มีหัวใจปราดเปรียว

สับปะรด แอปเปิล แครอท คือส่วนผสมของสูตรน้ำผลไม้รวม ที่ผมต้องใช้เวลาเกือบราว 1 นาทีในการกวาดสายตาอ่านสรรพคุณและส่วนผสมต่างๆ ก่อนตัดสินใจสั่ง โดยรสชาติของน้ำผลไม้รวมแก้วนั้นมีส่วนผสมระหว่างความหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ ซึ่งถูกผสมรวมกันแล้วกลมกล่อมได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เอ๊ะแล้วเหตุใดน้ำผลไม้รวมธรรมดาๆ จึงมาเกี่ยวข้องกับ BMW 630d GT M Sport คันตรงหน้านี้ได้นะ?

ก่อนจะเฉลยผมต้องขอพาทุกท่านมารู้จักกับ BMW 6 Series GT ก่อน​ โดย 6 Series GT นั้นคือหนึ่งในรถเลขอนุกรม 6 ที่ถูกเผยโฉมครั้งแรกในงาน Frankfurt’s International Motor Show ปี 2017 นับว่าเป็นตัวแทนของ 5 Series GT รุ่นก่อนที่ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ง่ายต่อการจดจำและยกระดับของรถให้หรูมากขึ้น คล้ายกับ 3 Series Coupe ในอดีตที่ปัจจุบัน BMW เปลี่ยนเลขอนุกรมใหม่เป็น 4 Series

6 Series GT นั้นมีขนาดมิติของตัวรถที่ยาวมากถึง 5,091 มิลลิเมตร สูง 1,538 มิลลิเมตร (ยาวมากขึ้น 87 มิลลิเมตร เตี้ยลง 21 มิลลิเมตรและเบาลง 150 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ 5 Series GT รุ่นก่อน) พื้นฐานของรถนั้นถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรม BMW ขับเคลื่อนล้อหลังที่มีชื่อว่า CLAR Architecture เหมือนกับเพื่อนๆ BMW เลขอนุกรมอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนล้อหลังในปัจจุบัน

BMW 5 Series GT รุ่นก่อน

โดยอักษรย่อ GT ที่แปะอยู่ด้านหลัง คืออักษรที่ย่อมาจากคำว่า Gran Turismo อันเป็นศัพท์ที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาอิตาลีที่หมายถึงประเพณีของวัยรุ่นชั้นสูงในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่มักออกเดินทางไกลเพื่อแสวงหาศิลปะและอารยธรรมจากดินแดนอื่นในยุโรป และเนื่องจากประเพณีดังกล่าวเป็นกิจกรรมของวัยรุ่นชั้นสูงทุกสิ่งในทริปจึงหรูหราและมีสไตล์เพราะพวกเขาสามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่อั้น ชาวยุโรปเรียกประเพณีนี้ว่า Grand Tour พอถึงยุคที่บรรดารถยนต์แพร่หลาย อุตสาหกรรมรถยนต์จึงนำคำดั่งกล่าวมาใช้เรียกรถที่มีสมรรถนะสูงดีไซน์หรูหราเหมาะกับการเดินทางไกลว่า Grand Tourer (Gran Turismo ในภาษาอิตาลี) หรือย่อสั้นๆ ว่า “GT” นั่นเอง

ดีไซน์ของตัวรถทั้งคันเมื่อมองรวมๆ แล้วจะพบว่ามีแนวทางการออกแบบที่ดูเตี้ยลงและเพรียวมากขึ้นกว่ารุ่นเก่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งส่วนของฝากระโปรงด้านหน้ายาวจรดมาถึงแนวหลังคาด้านหลัง โดยรุ่นที่เรานำมารีวิวในวันนี้คือรุ่น M Sport ที่จะได้รับการตกแต่งให้มีหน้าตาที่ดุดันขึ้นพิเศษ

ดีไซน์ส่วนครึ่งคันหน้านั้นเหมือนโคลนนิ่งดีไซน์ของ 5 Series G30 มาไม่มีผิดเพราะ 6 Series GT นั้นมีบางส่วนที่ถูกต่อยอดมาจาก 5 Series G30 ชุดกันชนหน้าแบบ M Sport พร้อมกระจังหน้าไตคู่ที่สามารถ เปิด-ปิดได้อัตโนมัติ BMW เรียกระบบนี้ว่า Active air stream kidney grille ซึ่งมีดีไซน์ที่รับไปกับชุดไฟหน้า Adaptive LED อันเป็นไฟหน้าที่มีฟังก์ชันปรับองศาของไฟได้ตามพวงมาลัยและมีระบบ Hight beam Assistance

ดีไซน์ด้านข้างรถนั้นมีการออกแบบให้มีมิติที่นูนเว้าสลับกันบนบานประตูจนเกิดเงาของแสงที่เพิ่มมิติให้กับตัวรถเมื่อมองจากด้านข้าง กรอบกระจกประตูเป็นแบบไร้กรอบหรือที่เรียกกันว่า กระจก Frameless ซึ่งสามารถเพิ่มความ Sport ให้กับดีไซน์ของรถทั้งคันได้อย่างมีชั้นเชิง

เหนือไปกว่านั้นช่อง Air Breather ที่ออกแบบมาได้รับกับซุ้มล้อคืออีกส่วนสำคัญที่ทำให้รถดูโดดเด่นขึ้นมาและยังเป็นส่วนช่วยในเรื่องของอากาศพลศาสตร์ที่ทำให้รถที่ร่างโตคันนี้ลู่ลมเหมือนรถเล็ก โดยค่าอากาศพลศาสตร์แรงเสียดทานลมหรือ Cd ต่ำเพียง 0.25

ส่วนล้ออัลลอยนั้นเป็นล้อ M ขอบ 19 นิ้ว Double-Spoke ลาย 647 M รัดมาด้วยยาง RunFlat ขนาด 245/45 ในล้อหน้า 275/40 ในล้อหลัง ชุดคาลิเปอรเบรกหน้าเป็นแบบ M 4 Pot และ 1 Pot ในล้อหลัง

ล้อหน้ากว้าง 8.5 นิ้ว ล้อหลังกว้า 9.5 นิ้ว

ดีไซน์ด้านท้ายนั้นโดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายแบบ 3 มิติ ที่ทีมดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟท้าย BMW i8 ซึ่งหากเราขยับสายตาขึ้นมาด้านบนอีกซักนิดจะพบกับที่อยู่ของชุดสปอยเลอร์ Active Rear Spoiler ท้ายที่ถูกซ่อนเก็บไว้ได้อย่างแนบเนียนและจะเด้งขึ้นมาต่อเมื่อใช้ความเร็วสูงราว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หรือกดปุ่มเปิดจากภายในรถเท่านั้นส่วนของด้านล่าง ชุดกันชนท้ายแบบ M Sport พร้อมท่อไอเสียคู่ของแท้ที่ไม่ใช่ช่องหลอกเหมือนรถเยอรมันค่ายอื่นๆ

ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า วิธีการเปิดนั้นทำได้ทั้งการกดปุ่มเปิดตามประเพณีเดิมหรือจะใช้วิธีที่ท้าทายชีวิตขึ้นหน่อยโดยการใช้เท้าแหย่เข้าไปใต้กันชนท้ายแล้วลุ้นว่าเราแหย่เท้าได้ถูกจุดมั้ย หากถูกฝาท้ายก็จะเปิดขึ้นเองอัตโนมัติโดยไม่ต้องสัมผัสปุ่มใดๆ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องพกกุญแจรถไว้กับตัวครับ

ขนาดของห้องเก็บสัมภาระท้ายรถนั้นเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของรถ เพราะท้ายของ 6 Series GT นั้นมีขนาดความจุที่ใหญ่โตถึง 610 ลิตร แต่หากความจุดังกล่าวยังไม่มากพอ เบาะท้ายของ 6 Series GT เองก็สามารถพับลงได้แบบ 40:20:40 ซึ่งเมื่อพับเบาะหลังทั้งหมดลงแล้วจะมีความจุมากถึง 1,800 ลิตร!

ส่องภายในกันบ้าง
ภายในของรถนั้นเริ่มต้นจากคอนโซลหน้าด้านบนหุ้มด้วยหนัง Sensatec ที่เดินด้ายได้อย่างพิถีพิถันและตัดกันด้วยวัสดุ Aluminium Rhombicle with finisher Pearl Chrome ที่แผงคอนโซลและประตู

การเข้า-ออกจาก 6 Series GT นั้นสามารถลุกเข้าออกจากตัวรถได้อย่างง่ายดาย ตัวประตูคู่หน้าเปิดออกได้อย่างกว้างขวางโดยประตูทั้ง 4 บานเป็นประตูดูดแบบ Soft-close กุญแจรถเป็นแบบ Display Key มาพร้อมระบบ Comfort Access

เบาะนั่งคู่หน้าเป็นเบาะแบบ Sport หุ้มด้วยหนัง Dakota พร้อมปุ่ม Memory บันทึกตำแหน่งเบาะสำหรับฝั่งคนขับ โดยตัวเบาะสามารถปรับที่รองน่องหัวเข่า เข้า-ออก และสามารถปรับปีกเบาะให้โอบกระชับตัวผู้โดยสารได้ ภาพรวมตำแหน่งเบาะคู่หน้านั้นสามารถซัพพอรต์สรีระของผู้โดยสารหลากหลายไซส์ทำให้การเดินทางไกลเป็นไปได้อย่างสบายๆ

สคัพเพลท M บ่งบอกถึงการตกแต่งแบบ M Sport

ส่วนของการเข้าออกประตูหลังสามารถทำได้อย่างง่ายดายเช่นกัน พื้นที่วางขาด้านหลังนั้นกว้างใหญ่ไม่แพ้ 7 Series อานิสงค์มากจากช่วงฐานล้อ 6 Series GT ที่ยาวมากถึง 3,070 มิลิเมตร หรือเทียบเท่า 7 Series รุ่นฐานล้อสั้น รวมถึงความสบายของเบาะหลังนั้นก็สบายไม่แพ้ 7 Series เลยทั้งในเรื่องของพื้นที่เหนือศรีษะและความสบายของชุดเบาะหลังที่สามารถปรับองศาเอนขึ้น-ลงได้จากปุ่มข้างตัวเบาะและหมอนรองคอที่เหมือนของ 7 Series ไม่มีผิด

นอกเหนือจากพื้นที่ของเบาะหลังที่กว้างขวางแล้วหลังคากระจกแบบ Panorama ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่เมื่อเปิดม่านกันแสงออกจะเพิ่มความโปร่งให้กับห้องโดยสารรถได้เป็นอย่างมาก

ตำแหน่งนั่งของเบาะคนขับนั้นให้ความรู้สึกที่สูงกว่า Sedan ทั่วไปแต่ไม่ถึงขนาด SAV เป็นตำแหน่งที่กำลังสบายเหมาะสำหรับการขับขี่ทางไกลแต่ยังคงความสนุกได้เมื่อต้องการบู้ พวงมาลัยสามก้านแบบ M หนังเนียนมือจับได้กระชับเหมือนเคย​แม้จะแอบหนาขึ้นจากพวง M ยุคก่อนอยู่เล็กน้อย​ มาพร้อมปุ่ม Paddle Shift หลังพวงมาลัย

ด้านซ้ายของชุดพวงมาลัยเป็นที่อยู่ของ Criuse Control ส่วนขวาเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุมเครื่องเสียงต่างๆ

มาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอลที่ออกแบบมาให้คนขับสามารถอ่านค่าได้ง่ายเหมือนมาตรวัดเข็มยุคก่อนแต่มีสีสันและลูกเล่นที่มากกว่าเดิม โดยรูปแบบของมาตรวัดนั้นจะเปลี่ยนไปตาม Mode การขับขี่ Sport,Comfort,ECO PRO นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแทรกข้อมูลต่างๆ อาทิ ช่องวิทยุ,ชื่อเพลงหรือแผนที่ขึ้นมาในจอได้อีกด้วย

ชุดจอ iDrive ขนาด 10.25นิ้ว ที่สามารถควบคุมได้ทั้งจากสวิตช์ iDrive ข้างคันเกียร์หรือจะเลือกสัมผัสผ่านหน้าจอโดยตรงเลยก็ย่อมได้ระบบ Navigator เป็นแบบ Professional มาพร้อมชุดเครื่องเสียง Harman Kardon รอบทิศทางที่ให้คุณภาพเสียงที่ครบทุกมิติ เบสแน่นและเสียงใสกว่า 530i G30 M Sport ที่ได้เครื่องเสียง Harman Kardon เหมือนกัน

ระบบ PDC พร้อมเซนเซอร์รอบคันเมื่อจับคู่เข้ากับกล้องมองหลัง ช่วยให้การถอยเจ้า 630d GT ร่างยักษ์คันนี้เป็นไปได้ง่ายดายและปลอดภัย รวมไปถึง 630d GT คันนี้ยังมีระบบช่วยถอยจอดเข้าซองหรือขนานได้เองเหมือนกับ 530i G30 M Sport แต่น่าเสียดายที่ขาดกล้องรอบคันไป

ชุดจอแอร์ 4 Zone แยกอิสระหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา เป็นหน้าจอสัมผัสคล้ายกับที่พบได้ในพี่ชายคนโตอย่าง 7 Series

ถัดลงมาจากชุดจอแอร์นั้นเป็นที่อยู่ของช่องวางแก้วน้ำและช่อง Wireless Charging ที่สามารถวางมือถือและชาร์จแบตได้อย่างสะดวกสบาย

ตำแหน่งโดยรอบของคันเกียร์นั้นเป็นที่อยู่ของบรรดาสวิตช์ปุ่มกดที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน Auto Brake Hold คือ Option จำเป็นสำหรับการฝ่ารถติดในเมืองปัจจุบัน ส่วนของด้านขวามือที่ติดกับรูปกรวย PDC นั้นเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิด-ปิด สปอยเลอร์ Active Rear Spoiler ท้ายที่จะซ่อนตัวอยู่

Engine and Drivetrain

ขุมพลังของ BMW 630d M Sport ที่เรานำมาทดสอบกันนั้นเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรุ่น 30d (รหัสเครื่องยนต์ B57D30) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียง เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาดความจุ 3.0 ลิตร ความจุจริง 2,993 ซี.ซี. ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 265 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 2,000-2,500 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 เฉลี่ย 149 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic Sport ZF 8 Speed ที่ส่งกำลังลงไปสู่ล้อคู่หลัง

Dr!ve

ขุมพลังของ 630d GT M Sport คันนี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้รถคันนี้โดดเด่นขึ้นมา เสียงเครื่องยนต์ 6 สูบคำรามเบาๆ คือเสียงแรกที่ผมได้ยินและเริ่มรู้สึกได้ถึงความแตกต่างจาก BMW เครื่องดีเซล 4 สูบ คันก่อนๆ โดยความต่างดังกล่าวเริ่มสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนคลานช้าๆ ออกจากที่จอดรถในตึกโดยใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 1,000-2,000 รอบ/นาทีเท่านั้น

การขับขี่ในเมือง คันเร่ง เครื่องยนต์ และเกียร์ ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้ที่ติ สามารถเดาใจคนขับและตอบสนองได้รวดเร็วดุจแขนขาร่างกายของคน ทำให้ขับขี่ในเมืองนั้นเป็นไปได้อย่างคล่องตัวทันใจ โดยในบทโหด BMW 630d GT M Sport คันนี้ก็สามารถกลายร่างเป็นรถที่พร้อมวิ่งไล่ฟัดรถคันอื่นที่มาหาเรื่องได้อย่างไม่น้อยหน้า ตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง BMW เคลมเวลาไว้ที่ 6.1 วินาที ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผมได้ทดลองจับเวลาเล่นๆ มาได้เวลาราว 5.9 วินาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นการออกตัวโดยใช้ Mode Launch control ส่วนของ Top Speed นั้น BMW เคลมไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารแม้ว่าจะเป็นกระจกแบบ Frameless แต่ก็สามารถเก็บเสียงลมและเสียงจากพื้นถนนได้อย่างน่าประทับใจ โดยเสียงลมจะเริ่มได้ยินชัดขึ้นจริงๆ หลังความเร็ว​160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ซึ่งจุดนี้เองจะแพ้ 5 Series G30 ที่เป็นกระจกประตูเป็นกรอบแบบปกติซึ่งนับว่าเป็นราคาที่ต้องแลกมากับดีไซน์ของบานกระจกลักษณะ​นี้

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบธรรมดา ส่วนด้านหลังเป็นชุดช่วงล่างถุงลมพร้อมระบบ Self-Leveling ปรับระดับก้นอัตโนมัติและถึงแม้ว่าในตาราง Spec BMW จะไม่ได้ระบุไว้ว่า 630d M Sport คันนี้ได้ช่วงล่างแบบ Adaptive ที่ปรับความแข็งอ่อนได้หรือไม่ แต่จากการทดสอบของเราในหลายๆ Mode การขับขี่และในหลายย่านความเร็ว การตอบสนองของตัวรถใน Sport Mode นั้นพบว่าชุดถุงลมด้านท้ายมีความเฟิร์มขึ้นเล็กน้อยและจะเห็นได้ชัดขึ้นในจังหวะจั้มคอสะพาน ซึ่งมีอาการที่เด้งแล้วจบเร็วกว่าใน Comfort Mode เพิ่มความมั่นใจให้แก่คนขับในเวลาบู้ได้ดีขึ้น

อาการของช่วงล่างรวมๆ มาในแนวทางที่นุ่มสบายแต่ยังคงความเฟิร์ม หากวัดเรียงความรู้สึกนุ่มถึงเริ่มแข็ง ในช่วงระหว่างเลขอนุกรม 5 Series ถึง 7 Series คงเรียงให้เห็นภาพสุดในลักษณะนี้ครับ

นุ่ม 740Le Pure Excellence – 520d Sportline – 630d GT M Sport – 530i M Sport แข็ง

จะเห็นได้ว่าพี่ใหญ่อย่าง 7 Series ในเรื่องของความนุ่มนวลการเก็บรอยต่อถนนต่างๆ นั้นจัดว่าเป็นรถที่ขับผ่านหลุมถนนได้อย่างสบายที่สุด ด้วยอานิสงค์จากชุดช่วงล่างถุงลมทั้ง 4 ล้อแต่ก็แลกมาด้วยอาการย้วยที่ทำให้รับบทบู้ได้ไม่เต็มที่  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรเพราะ 7 Series ออกแบบมาเพื่อคนนั่งหลังและความสบายเป็นหลัก

ส่วน 520d Sport Line รุ่นช่วงล่างธรรมดานั้น หากว่ากันตามตรงแล้วอาการของช่วงล่างเวลาวิ่งผ่านหลุมบนถนนนุ่มไม่ได้ต่างไปจาก 630d GT M Sport เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่แตกต่างคืออาการของช่วงล่างที่เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นยังขาดความเฟิร์มและมั่นใจเมื่อเทียบกับช่วงล่างของ 630d GT M Sport ที่สามารถคุมอาการของตัวถังรถและให้ความมั่นใจได้ทั้งทางตรงที่ใช้ความเร็วสูงมากๆ จนเกือบ Top Speed หรือจะในทางโค้งเองก็เอาอยู่มัดแทบไม่ต่างไปกว่า 530i M Sport ที่ได้ช่วงล่าง M Sport เลยทีเดียวเพียงแต่ 530i นั้นจะมีอาการตึงตังขอโช๊คขณะวิ่งในเมืองและบนทางด่วนมากกว่า

บทส่งท้าย

ส่วนผสมที่หลากหลายของรสชาติน้ำผลไม้แก้วนั้น ทำให้ผมคิดถึงรถคันนี้ขึ้นมาเพราะหากจะว่าไปแล้วเมื่อพิจารณาถึงรถคันนี้ดีๆ จะเห็นได้ถึงรสชาติต่างๆ ที่ BMW นำเอาจุดเด่นของรถแต่ล่ะคันมาปั่นรวมกันทั้งจนเกิดเป็น 630d GT M Sport คันนี้ ทั้งในเรื่องเบาะหลังที่สบายเหมือน 7 Series และครึ่งคันหน้าที่หรูหราและชวนให้ขับเหมือน 5 Series แถมยังมีท้ายที่อเนกประสงค์เหมือน SAV ตระกูล X ทั้งหลายอีก

ตัวเลขราคา 4,739,000 บาท ที่มาพร้อม BSI Standard* ก็นับว่าเป็นราคาที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 5 Series Sedan และ 7 Series พี่ใหญ่สุด​ซึ่งแต่ไหนแต่ไรผมไม่ใช่แฟนของรถครอบครัวขนาดใหญ่​ซักเท่าไหร่​นัก​ แต่สำหรับ​ 630d​ GT​ M​ Sport​ คันนี้กลับสลัดภาพของรถครอบครัว​ รถผู้บริหาร​คันใหญ่​ ​เมื่อขึ้นมานั่งอยู่หลังพวงมาลัยได้​อย่างปลิดทิ้ง​ นับว่าเป็น​ BMW​ ที่มีรสชาติกลมกล่อม ลงตัวมากที่สุดตั้งแต่​ผมได้ทดสอบ​มาในช่วง​ 2-3 ปีมานี้​

ถึงแม้น้ำผลไม้รวมแก้วแรกที่ผมสั่งนั้นจะต้องใช้เวลาในการกวาดสายตาอ่านสรรพคุณ​นานถึง1นาที​ แต่สำหรับรถคันนี้แล้ว​ หากผมได้มีโอกาสเลือกและมีเงินอยู่ในกระเป๋า​ราว​ 5-6​ ล้านบาท​ นี้คือคำตอบที่ผมจะเลือกได้อย่างไม่ลังเลเลยครับ

*(BSI 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร / Warranty 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)

ความคิดเห็​นเสริมจาก

NoayPaul

Don’t let the looks fool you นี่ไม่ใช่รถที่ทรวดทรงสวยที่สุดในโลก และผมรู้ดีว่าคุณกำลังคิดอะไรเมื่อได้ยินใครสักคนเอ่ยคำว่า BMW กั บ GT อยู่ด้วยกันในประโยคเดียว แต่ด้วยระยะฐานล้อระดับน้องๆ 740Le, เครื่องยนต์ 265 แรงม้า, แรงบิด 620 นิวตันเมตร, อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่รถสปอร์ตมีเคือง, กระจกหน้าตาไร้กรอบ, สปอยเลอร์หลังยกตัวและพับเก็บอัตโนมัติ, และค่าตัว 4.739 ล้านบาท…เปิดใจแล้วคิดใหม่ก็ยังทันนะ

ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าผมเองไม่เคยกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่ามี BMW Gran Turismo รุ่นไหนสวย BMW 5 GT รุ่นแรกมีรูปร่างหนาเตอะตะเหมือนทีมออกแบบตกลงกันไม่ได้ว่าจะดีไซน์รถตู้หรือซีดานหรู BMW 3 GT ก็ยังมีด้านหน้าที่สูงใหญ่ราวกับรถ SAV และแม้ว่า BMW 6 GT จะมีดีไซน์ที่ดูไม่ขัดเขิน แต่ก็ยังมีหลายมุมที่น่าจะทำได้สวยโฉบเฉี่ยวกว่านี้ แต่หลังจากผมได้ไปขับ 630d GT ที่สนาม The Eight แถบเขาใหญ่ กับได้มาอยู่หลังพวงมาลัยอีกครั้งกับรถทดสอบที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ข้อสรุปสั้นๆ จากผมก็คือ “นี่คือรถยนต์นั่งที่ขับดีที่สุดใน BMW ทุกรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยตอนนี้”

อันที่จริงแล้วมันดีซะจนที่หากผมมีเงินสดราว 7 ล้านบาท นอนอยู่ในบัญชีเพื่อการซื้อรถ ผมก็จะเลือกซื้อ 630d GT แทน 740Le อย่างไม่มีการตรึกตรองเป็นครั้งที่สอง 630d GT มีเครื่องยนต์ที่เรียกพลังเมื่อไหร่ก็มา พวงมาลัยแน่นและคมกริบสมกับสายเลือดฟ้าขาว ช่วงล่างกระชับแต่ดูดซับแรงสะเทือนได้ในแบบที่รถผู้บริหารควรเป็น แต่ก็เล่นบทบู๊ได้ราวกับเจมส์บอนด์ในชุดสูทที่ตัดมาอย่างเนี้ยบ พื้นที่ตอนหลังกว้างขวางแทบไม่ต่างจาก 7 Series และขับได้อรรถรสกว่า 740Le ชนิดไม่ต้องสืบ สำหรับผมแล้ว 630d GT ไม่มีอะไรด้อยไปกว่าเรือธงของค่ายเว้นแต่เพียงหน้าตาที่อาจจะยังดูไม่หรูเท่า แต่ตอนที่คุณนั่งอยู่ในรถ คุณก็ไม่ได้เห็นมันอยู่แล้ว และที่สำคัญ..ค่าตัวที่ถูกกว่ากันอยู่ราว 2 ล้านบาท ก็น่าจะทำให้คุณให้อภัยเรื่องหน้าตาได้อยู่

มันยังเป็นรถที่ “หมกมุ่น” กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นความใส่ใจของคนออกแบบด้วย อย่างหน้าจอเครื่องปรับอากาศที่เป็นจอ TFT และต้องแตะสัมผัสเพื่อปรับความแรงลม ก็มีขอบนูนขึ้นมาตรงตำแหน่งที่เป็นปุ่มของพัดลมเอาไว้ เพื่อให้คนขับลากนิ้วผ่านแล้วกดใช้งานได้เลยแบบที่ไม่ต้องละสายตามาควานหาปุ่ม ซึ่งเป็นปัญหาหลักของหน้าจอทัชสกรีนทั่วไป แผงประตูด้านหลังมีแถบโลหะสีเงินที่สลักคำว่า GT เอาไว้ด้วยฟอนต์แบบเดียวกับ Emblem บนท้ายรถเป๊ะๆ ซึ่งไม่ใช่ของจำเป็นอะไรเลย แต่มันแสดงให้เห็นความละเอียดอ่อนและประณีต ซึ่งผมชอบที่มันเป็นแบบนั้น เพราะมันทำให้รู้ว่านี่คือผลิตผลจากความอุตสาหะของทีมออกแบบ และ 630d GT ไม่ใช่รถที่พวกเขาสร้างขึ้นมาแบบส่งๆ เพื่อโกยเงินเข้าบริษัทเท่านั้น

 ถ้าคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงมาดกระฉับกระเฉงที่หัวใจยังหนุ่มแน่น และมีเรื่องให้ต้องขับรถยนต์ประจำตำแหน่งเองอยู่เป็นประจำ ผมคงแนะนำให้คุณเลือก 630d GT มากกว่า 740Le ที่เหมาะจะมีคนขับให้นั่งมากกว่า ขอแค่อย่างเดียว..อย่าปล่อยให้หน้าตาของมันมาทำให้คุณเบือนหน้าหนีไปซะก่อนก็พอ แต่ถ้าคุณเป็นถึงผู้บริหาร…คุณก็คงจะไม่ถูกหลอกง่ายๆ หรอกมั้ง”

ขอขอบคุณ 

BMW Thailand
ที่เอื้อเฟื้อรถในการทดสอบ

บทความโดย
ธิติพัทธ์ หิรัญบวรทิพย์


สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาถ้อยคำรูปภาพในบทความโดยผู้เขียนและเว็บไซต์ BIMMER-TH.com
กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปใช้

The following two tabs change content below.

Thitipat Hiranbavorntip

Eat Sleep Drive // First Jobber ผู้ลุ่มหลงกับเสียงเครื่องยนต์และโค้งบนภูเขา

Comments

comments