BMW 5 Series LCI เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วทั้ง Sedan และ Touring

นับตั้งแต่เปิดตัวในวันที่ 12 ตุลาคม 2016 และเริ่มขายในช่วงต้นปี 2017 เป็นต้นมา BMW 5 Series เจนเนอเรชั่นที่ 7 รหัสตัวถัง G30 (Sedan) และ G31 (Touring) ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายได้มากกว่า 600,000 คัน ด้วยความเป็นรถยนต์นั่งมาดผู้บริหารขนาดกลางที่นำเสนอเทคโนโลยีด้านการขับขี่ ที่มุ่งเน้นการสร้างอรรถรสร่วมระหว่างผู้ขับกับตัวรถ ตลอดจนพัฒนาการด้านขุมพลัง ความหรูหรา และความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

แต่เมื่อคู่แข่งแต่ละค่ายล้วนไม่ธรรมดา จึงต้องมีการขยับตัวเพื่อคงตำแหน่งหัวแถว จึงเป็นที่มาของ 5 Series LCI (ไมเนอร์เชนจ์) ครั้งใหญ่ ซึ่งนอกจากจะได้หน้าตาคมคายขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับขุมพลังใหม่ที่ไม่ธรรมดา ทั้ง Plug-in Hybrid ตลอดจนการนำเทคโนโลยี Mild Hybrid มาใช้เพื่อลดมลภาวะ ซึ่งทาง BMW ในเยอรมนีได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแบบดิจิตอล และลงข้อมูลในเว็บไซต์สื่อมวลชนในวันที่ 27 พฤษภาคม 2020

สำหรับการออกแบบภายนอกของ 5 Series LCI นั้น ตัวรถหลักยังคงเหมือนเดิม เน้นสัดส่วนแบบรถขับหลัง หน้ายาว ท้ายสั้น หลังคาไม่สูงเกินไป แม้หลังจากการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว บอดี้ของทั้งรุ่น Sedan และ Touring ก็มีความสูง และความกว้างไม่แตกต่างไปจากรถรุ่นเดิม แต่มีความยาวเพิ่มขึ้น 27 มิลลิเมตรในรุ่น Sedan และ 21 มิลลิเมตรในรุ่น Touring ทำให้ได้ขนาดมิติรวมยาว 4,963 มิลลิเมตร และกว้าง 1,868 มิลลิเมตรทั้งสองบอดี้ แต่ความสูงนั้น รุ่น Sedan จะอยู่ที่ 1,479 มิลลิเมตร และรุ่น Touring อยู่ที่ 1,498 มิลลิเมตร

จุดสำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงในภายนอกของ 5 Series LCI ใหม่ มีดังนี้

  • ไฟหน้า มีขนาดเรียวเล็กลง ภายในมีการฝังไฟ LED ที่มีลักษณะเป็น L-shape เอาไว้
  • กระจังหน้า มีขนาดกว้างขึ้นและสูงขึ้น เป็นดีไซน์แบบ Octagonal ตามเอกลักษณ์ของ BMW ยุคใหม่
  • กันชนหน้า/หลังใหม่ ที่ปรับลดเส้นสายให้ยุ่งเหยิงน้อยลง
  • ไฟท้าย LED แบบสามมิติ ลวดลายภายในใหม่ ไฟกลางคืน และไฟเบรกเดินบนเส้นเดียวกัน
  • รถที่สั่งเบรก M Sport นั้นนอกจากจะมีคาลิเปอร์เบรกสีน้ำเงินแล้ว ยังมีการเพิ่มสีแดงให้เลือก

ส่วนภายในนั้น แม้จะมีแดชบอร์ดลักษณะเดิม แต่ก็มีการอัปเดตหลายส่วน

  • จอกลางของทุกรุ่น จะได้ขนาด 10.25 นิ้วเป็นมาตรฐาน สำหรับรถที่สั่งออพชั่น BMW Live Cockpit Professional จะได้จอขยายขนาดเพิ่มเป็น 12.3 นิ้ว
  • ใช้ระบบบริหาร Infotainment BMW Operating System 7.0 ในทุกรุ่นย่อย
  • ในรถที่สั่งออพชั่น BMW Live Cockpit Professional จะได้ระบบนำทางใหม่ BMW Maps ซึ่งนอกจากจะเชื่อมต่อข้อมูล Online ในการค้นหาแผนที่, เตรียมรถให้พร้อมกับอุปสรรคและสภาพการจราจร ยังมีฟังก์ชั่นการค้นหา Destination ซึ่งคนขับสามารถใส่ Keyword อะไรลงไปก็ได้ แล้วระบบจะจัดการแสดงผลลัพธ์โดยจัดลำดับตามความเกี่ยวข้อง (คล้ายกับการค้นหาจาก Google)
  • สวิตช์ควบคุมบนคอนโซลกลาง เปลี่ยนวัสดุ เป็นสีดำเงา
  • มีการเปิดออพชั่นเบาะ “M Multifunction” ให้เลือกในรถคันที่เจ้าของสั่งแพ็คเกจ M Sport (แต่เดิม เบาะนี้จะสงวนไว้ให้เฉพาะ BMW M5 เท่านั้น)

องค์ประกอบอื่นที่มีการเปลี่ยนแปลง

  • ไฟหน้า BMW Selective Beam ซึ่งจะแบ่งดวงไฟ LED ในไฟหน้าแต่ละข้างออกเป็น 4 Segment ซึ่งแต่ละ Segment จะสว่างหรือดับแยกกันกับส่วนอื่นๆได้อย่างอิสระ ทำให้สามารถปรับการส่องได้ไกลเมื่อจำเป็น ใช้กล้องหน้ารถในการตรวจจับรถที่วิ่งสวนมาเพื่อการลดไฟลงไม่ให้แยงตารถคันอื่น นอกจากนี้ ระบบไฟ Cornering Light และไฟสูง ยังสามารถเชื่อมต่อการทำงานกับระบบนำทางผ่านดาวเทียม เพื่อเตรียมการปรับองศาและการฉายแสงได้ก่อนที่รถจะวิ่งไปถึงจุดนั้นจริงๆ
  • พวงมาลัยแปรผันและระบบเลี้ยว 4 ล้อ Integral Active Steering ได้รับการปรับจูนการทำงานที่ความเร็วต่ำใหม่ และรุ่น Plug-in Hybrid สามารถเลือกติดตั้งได้แล้ว
  • ระบบ Mild Hybrid มีในรถเครื่องยนต์ 4 และ 6 สูบทุกรุ่น
  • ในรถเบนซิน/ดีเซล ที่มี Mild Hybrid System ระบบเบรกเปลี่ยนใหม่ จากไฮดรอลิก เป็นแบบ ไฮดรอลิก/ไฟฟ้า ซึ่งประยุกต์มาจากรถตระกูล Plug-in Hybrid เพื่อให้สามารถเลือกวิธีการเบรกด้วยการหน่วงทางไฟฟ้าเพื่อสร้างพลังงานไปเก็บไว้ใช้ หรือเบรกด้วยไฮดรอลิกแบบปกติ

การทำงานของระบบ Mild Hybrid

ใช้ระบบไฟฟ้าแบบร่วม โดยมอเตอร์ Mild Hybrid จะทำหน้าที่เป็น Starter และ Generator อยู่ในลูกเดียวกัน ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ 48V และจะยังมีแบตเตอรี่ 12V ซึ่งดูดพลังมาจากแบตเตอรี่ 48V อีกทอดหนึ่ง โดยนำไฟฟ้านี้ไปใช้สำหรับไฟส่องสว่างนอก/ในรถ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและระบบไฟฟ้าอื่นๆภายในรถยนต์

มอเตอร์ขับเคลื่อนของระบบ Mild Hybrid จะมีขนาดเล็ก เบา พลังน้อย ไม่สามารถขับเคลื่อนตัวรถโดยไม่พึ่งพาเครื่องยนต์ได้ แต่จะมีส่วนในการช่วยขับเคลื่อน เสริมพลังเมื่อกดคันเร่งได้สูงสุด 11 แรงม้า นอกจากนี้ เมื่อรถชะลอลงและความเร็วต่ำกว่า 15 กม./ชม. ECU จะสั่งดับเครื่องยนต์ได้เลย โดยที่ระบบบังคับเลี้ยวและระบบปรับอากาศสามารถทำงานอย่างไร้รอยต่อ หรือถ้าหากเปิดฟังก์ชั่น COASTING ใช้งาน เครื่องยนต์จะสามารถดับลงเมื่อไม่มีการใช้พลัง ซึ่งจะเป็นช่วงใดก็ได้ระหว่างความเร็ว 25-160 กม./ชม.

เมื่อคนขับถอนคันเร่ง รถจะแปลงพลังงานจากการเบรก ไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ 48V และจะมีการหน่วง/ชาร์จไฟเร็วกว่าปกติเมื่อเปิดใช้งานโหมด SPORTในกรณีที่พลังสำรองเหลือน้อย และไม่มีจังหวะที่ให้คนขับถอนคันเร่ง ระบบ Mild-Hybrid ของ BMW สามารถสั่งให้ทำการชาร์จไฟขณะรถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ได้

รุ่นและขุมพลังที่มีให้เลือกในช่วงเปิดตัว มีดังนี้

520i Sedan/Touring

เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จพร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 290 Nm ที่ 1,350-4,250 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

530i Sedan/Touring และ 530i xDrive Sedan/Touring (xDrive = ขับเคลื่อน 4 ล้อ)

เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า ที่ 5,200-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 Nm ที่ 1,450-4,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

540i Sedan และ 540i xDrive Sedan/Touring

เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จ พร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า ที่ 5,500-6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450Nm ที่ 1,600-4,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

M550i xDrive Sedan

เครื่องยนต์ 4.4 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ “ไม่มีระบบ Mild Hybrid” ให้กำลังสูงสุด 530 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750Nm ที่ 1,800-4,600 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

530e Sedan/Touring และ 530e xDrive Sedan (xDrive Touring จะมาในเดือนพ.ย.)

ผสานกำลังขับเคลื่อน Plug-in Hybrid “iPerformance” เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 Nm ที่ 1,350-4,000 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้า Synchronous 109 แรงม้า แรงบิด 265 Nm ได้เป็นพลังรวม 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420Nm ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic พิสัยทำการด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเดียว ประมาณ 53-62 กิโลเมตร

*หมายเหตุ หากไม่กดใช้ฟังก์ชั่น xTraboost จะได้พลังรวม 252 แรงม้า

545e xDrive Sedan (เปิดตัวพร้อมกับ 530e xDrive Touring)

Plug-in Hybrid “iPerformance” เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 Nm ที่ 1,500-3,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้า Synchronous 109 แรงม้า แรงบิด 265 Nm ได้เป็นพลังรวม 394 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 Nm ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic พิสัยทำการด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเดียว ประมาณ 54-57 กิโลเมตร

520d Sedan/Touring และ 520d xDrive Sedan/Touring

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จแบบ 2 Stage จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-rail แรงดัน 2,500 Bar พร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 Nm ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

530d Sedan/Touring และ 530d xDrive Sedan/Touring

เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จแบบ 2 Stage และกังหันเทอร์โบแบบแปรผัน จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-rail แรงดัน 2,700 Bar พร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 650 Nm ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

540d xDrive Sedan/Touring

เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จ แบบ 2 Stage และกังหันเทอร์โบแบบแปรผัน จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-rail แรงดัน 2,700 Bar พร้อมระบบ Mild Hybrid ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 700 Nm ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic

และนี่ก็คือ BMW 5 Series LCI ใหม่ ซึ่งจะมีกำหนดขายจริงในยุโรป เดือนกรกฎาคม 2020 นี้ สำหรับประเทศไทยนั้น ยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวที่แน่ชัด แต่สามารถแทงหวยได้ว่าจะต้องมีรุ่น 520d และ 530e เป็นพระเอกเช่นเคย แต่จะได้อุปกรณ์ใหม่ๆครบหรือไม่ และจะมีรุ่นที่ชวนให้คันมือคันเท้าอย่าง 545e เข้ามาขายหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เราต้องติดตามต่อไปครับ

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments