เล่าประสบการณ์ ทดลองขับ BMW X2 ใหม่ที่เยอรมนี – Be the one who dares.

สวัสดีจากนครมิวมิก ประเทศเยอรมันครับ วันนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองขับ BMW X2 ใหม่ ซึ่งถือว่าเป็น BMW ในซีรีส์ใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นรุ่นที่สร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ที่สำคัญคือ เจ้า BMW X2 นี้ จะพร้อมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเร็วๆ นี้แล้วด้วย

อ่าน >> เปิดตัวแล้วในไทย ! BMW X2 sDrive20i M Sport X ราคา 2,999,000 บาท พร้อม Spec – Option ทั้งหมด

BMW X2 รุ่นที่ผมได้มีโอกาสขับที่เยอรมันก่อนที่จะวางจำหน่ายจริงในบ้านเรานี้ เป็นรุ่น BMW X2 xDrive20d ครับ ซึ่งต้องออกตัวก่อนเลยว่า มันเป็นคนละรุ่นเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย (ในไทยคือ BMW X2 sDrive20i) ดังนั้น วันนี้ผมจะไม่พูดถึงพละกำลังของเครื่องยนต์มากมายนัก แต่จะพูดถึงภาพรวม ความแตกต่างในการดีไซน์ และคาแรคเตอร์ของ X2 เมื่อขับขี่จริงเป็นหลักนะครับ

และต้องออกตัวอีกเรื่องว่า วันนี้เป็นการทดลองขับที่ใช้เวลาประมาณ 1 วันเท่านั้น ไม่ได้เป็นการทดลองใช้งานอย่างจริงจัง จึงจะไม่ได้เป็น full review นะครับ ซึ่งตัวรีวิวฉบับเต็มจะตามมาอีกครั้งเมื่อ X2 ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว

BMW X2 xDrive20d M Sport X

ผมเดินทางมาถึงสนามบินมิวนิกตอนเช้าตรู่ ก็พุ่งตรงมารับรถ BMW X2 คันสีทอง Galvanic Gold อันโดดเด่น สีใหม่และเป็นสีหลักของ BMW X2 มาจากศูนย์รับรถผู้สื่อข่าวของ BMW Group ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินมิวนิกประมาณ 20 นาทีครับ และตั้งเป้าว่า วันนี้จะทดลองขับเจ้า BMW X2 นี้ไปตามเส้นทางต่างๆ ในตอนใต้ของเยอรมนีให้มีความหลากหลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผสมกันทั้งทางด่วนออโต้บาห์นที่ไม่จำกัดความเร็ว , ถนนชนบท , และในตัวเมืองมิวนิก เสมือนกับการใช้งานจริงในหลากหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน

เป้าหมายแรกของผม คือผมตั้งใจจะนำ BMW X2 คันนี้ขับไปถ่ายรูปริมทะเลสาบ Sylvensteinstausee ทางตอนใต้ของมิวนิก ที่จริงๆ แล้วผมก็ไม่เคยไปหรอกครับ แต่ดูภาพจากอินเทอร์เน็ตมาแล้วสวยงามมากๆ และก็ขับไม่ไกลมากเท่าไหร่ด้วย แต่พอไปถึงจริงๆ ก็พบว่า ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด ต่างจากภาพที่หาเจอมาพอสมควร 555

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ BMW X2 ถ้ามองจากภายนอก และสะดุดตาแฟนๆ BMW รุ่นดั้งเดิมก็น่าจะเป็นกระจังหน้ารูปไตคู่ ที่มีการกลับด้าน เอาส่วนป้านกลับลงไปอยู่ด้านล่าง ที่แม้จะดูแปลกตาไปจาก kidney grill ของ BMW รุ่นอื่นๆ ไปบ้าง แต่มันก็ดูลงตัว เข้ากับเส้นสายของไฟหน้าได้อย่างพอดิบพอดี และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รูปโฉมด้านหน้าของ BMW X2 แตกต่างจาก BMW X1 ที่มีขนาดตัวถังพอๆ กัน ได้อย่างชัดเจน

อีกส่วนสำคัญ ที่ทำให้ X2 ฉีกกฎจาก BMW ซีรีส์อื่นๆ ก็คือโลโก้ BMW ที่บริเวณเสา C ด้านหลังทั้งสองข้างของตัวรถ ซึ่งไม่มีการดีไซน์รูปแบบนี้ใน BMW โมเดลปัจจุบันรุ่นอื่นๆ เลย (ครั้งสุดท้ายก็น่าจะย้อนไปไกลถึงรถคูเป้รุ่นคลาสสิคอย่าง BMW E9 ในยุค ’70) น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทำไม BMW จึงเลือกที่จะนำกลับมาอยู่ใน BMW X2 อีกครั้งหนึ่ง และยังเป็นเพียงรุ่นเดียวในไลน์อัพปัจจุบันที่มีโลโก้ BMW ในตำแหน่งนี้

สติ๊กเกอร์บ่งบอกว่ารถใส่ยางวินเทอร์ และให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 210 km/h

ระหว่างทางที่ขับลงตอนใต้ของแคว้นบาเยิร์น ผมก็มีโอกาสได้ใช้ความเร็วสูงพอสมควรบนทางด่วน (Autobahn) ของเยอรมันครับ ซึ่งจริงๆ แล้วมีหลายช่วงที่ไม่มีการจำกัดความเร็วเลย เสียดายที่ช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่อากาศยังหนาวเย็นค่อนข้างมาก และมีหิมะตกอยู่ ทาง BMW Group จึงใส่ยาง Winter มาให้ และจำกัดการใช้ความเร็วไม่เกิน 210 km/h ซึ่ง X2 xDrive20d นี่ก็สามารถชิดเลนซ้ายสุด และทำได้แบบสบายๆ แต่ก็มักจะมีรถที่เร็วกว่ามาจี้ท้ายอยู่ตลอดเหมือนกันครับ

ภายในของ BMW X2 ก็มีการออกแบบที่แตกต่างจาก BMW รุ่นอื่นๆ เช่นกันนะครับ ตัวอย่างเช่นการใช้สีด้ายของเบาะหนังเป็นสีเดียวกับตัวถังรถ หรืออย่างแผงประตูที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ของ BMW

เข็มหน้าปัดที่เราเห็นในรูปแบบคลาสสิค ที่ดูเผินๆ แล้วอาจจะไม่แตกต่างจากเข็มหน้าปัดของ BMW รุ่นอื่นๆ นี้ แท้จริงแล้วเป็นหน้าปัดดิจิทัลทั้งหมดนะครับ แต่แสดงผลเป็นรูปทรงของเข็ม ที่ไม่ได้พยายามให้ดูล้ำยุคเหมือนกับที่ BMW ทำกับหน้าปัดดิจิทัลในซีรีส์ 5 หรือซีรีส์ 7 โดยกลับเลือกทำให้หลายๆ คนดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันเป็นหน้าปัดดิจิทัล

หลายคนอาจจะเข้าใจว่า BMW X2 นี้มาคั่นกลางระหว่าง BMW X1 กับ X3 แต่แท้จริงแล้ว เจ้า X2 นี่มีขนาดเล็กกว่า X1 อีกนะครับ (ฐานล้อยาวเท่ากัน แต่มิติรถโดยรวม X2 จะเล็กกว่าเล็กน้อย ความสูงน้อยกว่า และหลังคาลาดลงมามากกว่า) BMW X2 จึงเป็น X1 ที่ให้ความสปอร์ตมากขึ้น ไม่ใช่รุ่นที่มาคั่นกลางระหว่าง X1 กับ X3 แต่อย่างใด

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายตัวรถ ด้วยขนาดของตัวรถที่เล็กกว่า X1 เล็กน้อย จึงทำให้ X2 มีพื้นที่เก็บสัมภาระอยู่ที่ 470 ลิตร หรือ เล็กลงกว่า X1 อยู่ 35 ลิตรครับ ผมใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ พบว่าใส่ได้เฉพาะแนวขวางเท่านั้น ไม่สามารถใส่เข้าไปเป็นทางยาวได้โดยไม่พับเบาะ ก็เรียกว่าน่าจะเป็นข้อจำกัดอยู่พอสมควร เพราะถ้ากระเป๋าไซส์นี้แบบไม่พับเบาะ จะใส่ได้แค่ใบเดียวเลย

สิ่งที่เซอร์ไพรส์ผมมากใน BMW X2 จากความเชื่อที่คิดว่ามันน่าจะขับขี่ให้อารมณ์ใกล้เคียงกับ X1 ก็คือ มันเป็นรถที่ให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่แตกต่างจาก BMW X1 อย่างสิ้นเชิง ตำแหน่งคนขับอยู่เตี้ยกว่า ให้ความสปอร์ตมากกว่า และมันเป็นรถ SUV ที่ไม่ให้อารมณ์โคลงเคลงเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าให้ฟีลใกล้เคียงกับการขับรถ Hatch มากกว่าที่จะเป็น SUV ครับ บวกกับพละกำลังเครื่องยนต์ที่แรงพอสมควร ผมถือว่า BMW X2 เป็น BMW ซีรีส์ X ที่ขับสนุกที่สุดในไลน์อัพปัจจุบันเลยก็ว่าได้

ผมเปลี่ยนเป้าหมาย ขับมุ่งหน้าขึ้นเหนือจากทะเลสาบ Sylvensteinstausee ที่ผิดหวัง ขึ้นมาอีกทะเลสาบนึงที่ชื่อว่า Kochelsee ครับ ระหว่างทางมีฝนตกค่อนข้างหนัก จากการกด GPS เล่นๆ ก็พบว่า เจ้า BMW X2 รุ่นนี้ รองรับระบบ Apple CarPlay ด้วย เพียงแค่เปิดการทำงานจากเมนูในตัวรถ และเปิดเมนู CarPlay ใน Settings ของไอโฟน ตัวรถก็จะนำข้อมูลต่างๆ จากไอโฟนมาแสดงบนหน้าจอใหญ่ได้เกือบทั้งหมด เช่น แผนที่ Apple Maps, คอนแทคโทรศัพท์, เพลงใน Apple Music เป็นต้น สะดวก ง่ายดายมากๆ และที่สำคัญก็คือ ฟีเจอร์นี้จะมีในรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยด้วยนะครับ

เส้นทางใกล้ทะเลสาบนี่เป็นเส้นทางเลาะเขา ที่คดเคี้ยวและขับสนุกมากๆ ครับ มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย ใช้ความเร็วได้พอสมควร และยิ่งขับก็ยิ่งให้ความมั่นใจว่า X2 นี่ถูกปรับแต่งมาให้มีความวัยรุ่น ขับสนุก ผิดจากภาพลักษณ์ที่คนอาจจะจดจำว่ามันคือ SUV ที่ไม่คล่องตัวมากนัก ซึ่งผมยืนยันว่า ถ้าได้ลองขับแล้ว จะรับรู้ได้เลยว่า มันขับสนุกจริงครับ

ผมเดินทางกลับเข้าตัวเมืองมิวนิกอีกครั้ง และก็ได้เจอกับสภาพการจราจรที่หนาแน่นพอสมควร การขับในตัวเมืองของ X2 นี่ให้อารมณ์อีกแบบเลย เพราะมันยังสูงพอที่จะมองเห็นทัศนวิสัยที่ดีกว่ารถซีดานปกติ แต่ตัวรถมีขนาดกะทัดรัดที่จะวิ่งในเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว (หรือส่วนตัวผมเป็นคนชอบรถเล็กๆ อยู่แล้วก็ไม่รู้นะ) แต่ว่าตลอดทั้งวันที่ได้ขับ BMW X2 คันนี้ บอกได้เลยว่าเป็น BMW อีกรุ่นที่ทำให้หลงรักมันได้ไม่ยากเลยล่ะครับ

Be the one who dares.

บทความโดย:
อู๋ spin9

Comments

comments