รีวิว BMW X1 sDrive18d xLine ขับสนุกกว่าที่คิด แต่จิบน้ำมันแค่ 19 กม./ลิตร!!

มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในใจหลังจากที่ผมและทีมงาน Bimmer-th ลุ้นกันอยู่นานว่าคิวรถคันถัดไปที่พวกเราจะได้นำมารีวิวทดลองและทำความรู้จักกันนั้นจะเป็น BMW ตัวเลขและตัวอักษรใด

ผลสรุปว่าโชคชะตาทำให้พวกเราได้มาพบกับ BMW X1 คันสีน้ำตาล Chestnut Bronze (หรือจะมองว่าเป็นสีส้มก็ไม่น่าจะผิด) ที่คุณผู้อ่านกำลังได้เห็นอยู่ในขณะนี้

 

BMW X1 นั้นถือได้ว่าเป็นรถยนต์น้องเล็กสุดในบรรดา BMW ตระกูล X อันเป็นชื่อเรียกของกลุ่มรถยนต์ประเภท SAV ที่ย่อมาจากคำว่า Sport Activity Vehicles (หรือ SUV ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนั่นล่ะ)

ความหมายของ SAV ที่ทาง BMW เรียกรถยนต์ในตระกูล X ของพวกเขานั้น หากจะตีความให้เข้าใจได้ง่ายก็คือรถยนต์ที่ยังคงทั้ง DNA ขับสนุกในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถลุยในทาง Off Road ได้พอหอมปากหอมคอ

BMW ตระกูล X SAV ของ BMW ทั้งหมดในปัจจุบัน

BMW X1 คันที่เรานำมาทดลองขับกันในคราวนี้เป็น BMW X1 เจนเนอเรชั่นที่สองแล้ว โดยมีรหัสตัวถังคือ F48 และถือได้ว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ทาง BMW ค่อนข้างตั้งความคาดหวังไว้สูงเนื่องจากมีผู้คนให้ความสนใจค่อนข้างมาก ยอดขายทั่วโลกของ BMW X1 รุ่นก่อนนั้นสูงถึง 730,000 คัน (ข้อมูลจาก BMW Press Club)

เส้นสายของ BMW X1 F48 ใหม่ได้รับการออกแบบให้มีความเป็น SUV เอ่อ SAV มากขึ้น
BMW X1 F48 ออกแบบโดยนาย Calvin Luk ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชีย

ในปัจจุบันนั้น BMW X1 F48 ได้รับการเปลี่ยนแปลงจาก BMW X1 E84 รุ่นเดิมที่ใช้พืนฐานตัวถังจาก BMW 3 Series Wagon E91 ซึ่งส่งกำลังขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ทำให้ตัวรถไม่ได้มีความสูงมากนักและมีพื้นที่วางขาของผู้โดยสารตอนหลังที่คับแคบ นอกจากนี้ คอนเซปต์การออกแบบก็ยังทำให้ BMW X1 รุ่นแรกขาดสัดส่วนตามแบบฉบับรถยนต์ SAV ไปพอสมควร

พอมาถึงรุ่นที่สอง BMW จึงหันมาแชร์โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ Mini Countryman ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปในบ้านเราแทน นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เซอร์ไพรส์แฟนๆ BMW อย่างมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลให้ BMW X1 ใหม่ต้องเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จากเดิมที่เคยขับเคลื่อนล้อหลัง โดยแลกมากับพื้นที่ห้องโดยสารที่เพิ่มขึ้นและการลบจุดอ่อนต่างๆ ที่เคยมีในรุ่นที่แล้วนั่นเอง

BMW X1 E84 โฉมแรก
BMW X1 F48 โฉมปัจจุบัน

BMW X1 F48 เวอร์ชั่นประเทศไทยนั้นสามารถเลือกได้ 3 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ BMW X1 sDrive18i xLine, BMW X1 sDrive18d xLine และ BMW X1 sDrive18d M Sport ในสองรุ่นแรกนั้นภายนอกจะได้รับการตกแต่งเหมือนกันทุกประการแต่จะแตกต่างกันที่ขุมพลังของเครื่องยนต์ อักษรตัว i หมายถึงเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนอักษรตัว d หมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล ในขณะที่ BMW X1 sDrive18d M Sport นั้นจะได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่งแบบ M Sport ที่ทำให้รถดูมีมาดปราดเปรียวยิ่งขึ้น

BMW X1 F48 คันที่เราได้นำมารีวิวกันในครั้งนี้นั้น เป็นรุ่นย่อย sDrive18d xLine ซึ่งเป็นรุ่นที่มีราคาค่าตัวอยู่ในระดับกลางของ BMW ตระกูล X1 เวอร์ชันไทยในขณะนี้

ด้านหน้ารถ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าไตคู่ที่ถูกออกแบบมาให้ดูมีมิติความลึกมากขึ้น พร้อมกันชนหน้าที่ชายด้านล่างถูกตกแต่งด้วยแถบสีเงินอะลูมิเนียมเพื่อเพิ่มลุคความเป็น SAV ให้กับรถ ส่วนไฟหน้านั้นเป็นแบบ LED พร้อม Day time running light ในวงนอกที่มีลักษณะเหลี่ยมๆ ตามแบบฉบับ BMW ยุคใหม่ และท้ายสุดไฟตัดหมอกคู่ใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW ตระกูล X ทุกรุ่น

ยิ่งเมื่อเรามองเส้นสายด้านข้างของ BMW X1 โฉมนี้ จะพบว่าตัวรถนั้นมีเส้นสายและรูปทรงที่ดูทะมัดทะแมงขึ้นกว่ารุ่นเดิม
หลังคานั้นได้รับการตกแต่งด้วยชุดราวหลังคาอะลูมิเนียม ส่วนท้ายของรถเสริมลุคลุยแบบ SAV ด้วยชุดกันชนหลังชายล่างสีดำพร้อมแถบสีเงินอะลูมิเนียมด้วยเช่นกัน

ไฟท้ายด้านหลังเป็นแบบ LED เส้นยาวตามสมัยนิยมพร้อมไฟตัดหมอกหลังด้านในสุดมาให้ทั้งสองข้าง

ฝากระโปรงหลังเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า
นอกเหนือจากนั้นไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ฝากระโปรงท้ายที่เป็นแบบอัตโนมัติ เพียงเตะเท้าเข้าไปตรงๆ ที่บริเวณใต้กันชนท้ายซึ่งมีเซ็นเซอร์ซ่อนอยู่ ระบบจะสั่งให้ฝากระโปรงท้ายเปิดขึ้นมาเองโดยไม่จำเป็นต้องแตะต้องชิ้นส่วนใดๆ ของรถ! เพียงแค่พกกุญแจรถไว้กับตัวเองเท่านั้นเองครับ

เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายขึ้นมาจะพบกับห้องเก็บสัมภาระขนาดความจุใหญ่ถึง 505 ลิตร ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระยังสามารถเปิดขึ้นมาได้อีกชั้นหนึ่งด้วย

ที่ใต้พรมจะพบกับชุด First Aid Kit อันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำรถยุโรป

แต่ถ้าหาก 505 ลิตร ยังขนของไม่เพียงพอ เบาะหลังของ BMW X1 ที่สามารถแยกพับได้แบบ 40:20:40 นั้นจะช่วยให้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังของ BMW X1 เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัวหรือ 1550 ลิตร กันเลยทีเดียว

ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้านั้นสามารถเลือกปรับระดับความสูงที่ต้องการตอนฝาท้ายเปิดได้ ผ่านหน้าจอ iDrive

ล้อแม็กในรุ่น xLine คันนี้เป็นลาย Y-Spoke ขนาด 18 นิ้ว รัดมาด้วยยาง Bridgestone Turanza T001 Runflat ขนาด 225/50R18 ผลิตจากประเทศโปแลนด์

เปิดประตูมาชมภายในกันบ้าง!

BMW X1 ทุกรุ่นย่อยจะได้ระบบ Comfort access ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกเวลาเปิด/ปิดประตูรถโดยไม่ต้องกดรีโมทใดๆ แค่พกชุดกุญแจหน้าตาเรียวๆ ชิ้นนี้ไว้กับตัว ก็จะสามารถปลดล็อคประตูฝั่งคนขับ คนนั่งหรือท้ายรถได้ทันที และหากต้องการล็อครถก็เพียงแค่พกกุญแจชุดนี้ไว้แล้วใช้นิ้วสัมผัสกับขีดบนมือจับประตู รถก็จะล็อคให้ทันที นอกจากนั้นแล้ว หากแช่นิ้วค้างบนขีดดังกล่าวไว้ราว 3 วินาที รถก็จะพับกระจกมองข้างให้ด้วย

ขีดบนมือจับประตูมีเฉพาะประตูคนขับและประตูผู้โดยสารด้านหน้าเท่านั้น

เมื่อเปิดประตู BMW X1 sDrive 18d xLine เข้ามาจะพบกับภายในสี น้ำตาล Mocha (สีภายในจะเปลี่ยนไปตามสีตัวถังภายนอก) ตกแต่งด้วยลายไม้ Oak grain แบบด้าน ที่ดูทันสมัยและให้อารมณ์ผ่อนคลายเข้ากับสีของภายในของรถได้เป็นอย่างดี

ส่วนในตอนกลางคืน BMW ยังได้แอบซ่อนลูกเล่นพิเศษเป็นไฟ LED Ambient light เอาไว้ ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ยามราตรีได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเลือกปรับเปลี่ยนสีของไฟได้จากจอ iDrive ของรถได้สองสีด้วยกัน

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังทรง Sport ธรรมดา (พวงมาลัยพิเศษแบบ M จะอยู่ในรุ่น M Sport เท่านั้น) มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงอยู่ในฝั่งขวา และปุ่ม LIM จำกัดความเร็วรถอยู่ในฝั่งซ้าย น่าเสียดายเพราะ BMW X1 F48 ทุกรุ่น ไม่มี Cruise Control ติดมาให้เลย ทั้งๆ ที่เป็นออพชั่นที่น่าจะมีมาได้แล้วในรถยนต์กลุ่มราคาระดับนี้

ชุดเครื่องเสียง HiFi มาพร้อมหน้าจอขนาด 8.8 นิ้วและปุ่มควบคุม iDrive แบบสัมผัส
ระบบนำทาง เป็น Plus ใช้งานควบคุมผ่านปุ่ม iDrive ควบคุมได้ค่อนข้างง่ายและแสดงกราฟฟิคได้ไหลลื่น

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบ Auto ที่สามารถปรับอุณหภูมิแยกอิสระได้ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมปุ่มกด SYNC ให้อุณหภูมิเท่ากันได้ทั้งสองฝั่งหากต้องการ (ที่แม้แต่ 3-Series F30 ก็ยังไม่มี!)

คันเกียร์เป็นแบบ Steptronic สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเองเมื่อตบมาที่โหมด +/- ทางด้านซ้าย แต่หน้าตาของมันอาจจะดูแปลกตาไปจากพี่น้องร่วมค่ายสักเล็กน้อย (หน้าตาคันเกียร์กับที่พบใน MINI) เพราะปัจจุบัน BMW รุ่นใหม่ๆ ได้ปลี่ยนไปใช้คันเกียร์ไฟฟ้ากันหมดแล้ว

เบรกมือเป็นแบบสวิตช์ไฟฟ้าแต่ไม่มีฟังก์ชัน Auto brake hold มาให้เหมือนในพี่ใหญ่ BMW X5 xDrive 40e ที่เราทดสอบไปก่อนหน้านี้

ถัดจากคันเกียร์เป็นสวิทช์เปิด/ปิดระบบ DSC และ Traction Control หากกดครั้งแรกจะปิดแค่ Traction Control ล้อหน้าจะสามารถหมุนฟรีได้แต่ DSC จะยังช่วยควบคุมอาการตัวรถอยู่ และหากกดแช่นานขึ้นจะปิดทั้ง DSC และ Traction Control หรือพูดง่ายๆ คือปิดระบบที่ช่วยป้องกันการลื่นไถลทั้งหมด ด้านล่างถัดมาเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Driving Experience Control ที่คุ้นเคยอันได้แก่ โหมด SPORT, COMFORT และ ECO PRO

ถัดจากคันเกียร์เป็นสวิทช์เปิด/ปิดระบบ DSC และ Traction Control หากกดครั้งแรกจะปิดแค่ Traction Control ล้อหน้าจะสามารถหมุนฟรีได้แต่ DSC จะยังช่วยควบคุมอาการตัวรถอยู่ และหากกดแช่นานขึ้นจะปิดทั้ง DSC และ Traction Control หรือพูดง่ายๆ คือปิดระบบที่ช่วยป้องกันการลื่นไถลทั้งหมด ด้านล่างถัดมาเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Driving Experience Control ที่คุ้นเคยอันได้แก่ โหมด SPORT, COMFORT และECO PRO

ท้ายสุดเป็นปุ่มสำหรับ PDC หรือ Park Distance Control อันเป็นเซ็นเซอร์ช่วยกะระยะถอยหลัง และไฮไลท์เด่นใน BMW X1 F48 สเป็กไทยทุกรุ่นนั้นก็คือระบบช่วยถอยจอด Parking Assistant  แบบขนาน เพียงแค่กดปุ่มรูปกรวยนี้ระบบก็จะเริ่มค้นหาช่องจอดที่ว่าง พอพบแล้วก็เพียงทำตามที่ระบบของรถบอก รถจะจัดการหมุนพวงมาลัยให้เองโดยอัตโนมัติ ส่วนคนขับมีหน้าที่แค่ใส่เกียร์และประคองเบรกเท่านั้น

กล้องมองหลังและระบบ PDC พร้อมเส้นองศาปรับตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัย

หน้าจอ Navigation system รุ่น Plus แม้ว่าจะป้อนสถานที่จุดหมายปลายทางลำบากไปหน่อยแต่ก็แม่นยำใช้ได้ อาจต้องปรับตัวซักพักใหญ่สำหรับการใส่ Key word ที่จะใช้ในการค้นหา

BMW X1 F48 โฉมปัจจุบันนั้นมาพร้อมกับระบบ Head up display ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลต่างๆ สะท้อนขึ้น เช่น ความเร็ว ช่องรายการวิทยุ และระบบนำทาง Navigation system

ลูกศรนำทางของระบบ Navigation system ที่สะท้อนขึ้นกระจก Head up display สามารถบอกระยะทางคงเหลือ เมื่อถึงทางแยกที่ต้องเลี้ยวและชื่อถนนได้
แสดงความเร็วที่ใช้ขณะวิ่ง
แสดงรายการคลื่นวิทยุที่บันทึกไว้โดยเลือกได้ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยด้านขวา

ระบบ Head up display นั้นสามารถเลือกความสว่างหรือตำแหน่งสูงต่ำ เอียงซ้ายขวา และเลือกเปิด/ปิดได้จากหน้าจอ iDrive

เบาะของ BMW X1 F48 นั้นหุ้มด้วยหนัง Dakota แบบเจาะรูเพื่อเพิ่มการระบายอากาศและลวดลาย เบาะคู่หน้าเป็นแบบปรับไฟฟ้า ด้านคนขับสามารถปรับตำแหน่งได้ 8 ทิศทางพร้อม Memory 2 ตำแหน่ง ตัวเบาะมีพนักพิงที่กำลังเหมาะสมสามารถรองรับช่วงหลังและลำคอได้กำลังดี แต่มีตัวเบาะรองขาสั้นไปเสียหน่อย หากเป็นรุ่น M Sport จะได้เบาะที่รองรับช่วงขาได้เต็มที่กว่าเพราะเบาะของ M Sport สามารถยืดส่วนรองขาเข้าออกได้

การเข้าออกของประตูหลังนั้นขึ้นลงได้สะดวก ส่วนของพื้นที่วางขาด้านหลังนั้นค่อนข้างกว้างและดูโปร่งสบายตามากกว่าคู่แข่งเยอรมันค่ายอื่นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังให้ความรู้สึกพื้นที่ภายในกว้างขึ้นจาก BMW X1 รุ่นที่แล้ว อันเป็นผลประโยชน์มาจากการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนล้อหลังมาเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งเบียดเบียนพื้นที่ภายในห้องโดยสารน้อยลงนั่นเอง

นอกจากนี้ เบาะหลังยังมีจุดยึดสำหรับ Car seat ให้บรรดาคุณพ่อคุณแม่ลูกเล็กทั้งหลายได้อุ่นใจ พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบสามจุดมาให้ครบทั้งสามตำแหน่ง เข็มขัดสำหรับคนนั่งกลางจะถูกเก็บไว้ด้านบนหลังคาและมีวิธีการใช้ที่พิเศษกว่าจุดอื่นๆ นิดหน่อย สามารถอ่านวิธีใช้ต่อได้ที่ Did you know นั่งหลังคาดเข็มขัดนิรภัยยังไงให้ถูกต้อง?

Engine and Drivetrain

เมื่อเปิดใต้ฝากระโปรง BMW X1 sDrive 18d xLine ขึ้นมาจะพบกับเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo 150 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

น่าเสียดายที่ BMW Thailand ไม่มี X1 sDrive 18i xLine ให้ยืมทดสอบ ซึ่งจะเป็นรุ่นย่อยเริ่มต้นของ BMW X1 ที่เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo สามารถผลิตกำลังได้ 136 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัต 6 จังหวะ

กราฟแสดงแรงม้าและแรงบิดของเครื่องยนต์ BMW X1 sDrive18d โดยแรงบิด 330 นิวตันเมตร มีมาให้เรียกใช้ตั้งแต่ 1750 รอบ/นาที ลากยาวจนถึง 2750 รอบ/นาที ก่อนที่แรงม้าจะมารับช่วงต่อที่แถวๆ 4000 รอบ/นาที

จากกราฟแรงม้าแรงบิดด้านบน ค่อนข้างเชื่อว่าขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตรบล็อกนี้นั้นน่าจะแอบซ่อนพลังไว้อีกพอสมควร และน่าจะสามารถหาทางซนกับตัวกล่องเพื่อเรียกพลังแรงม้าเพิ่มได้อีกแน่ๆ เนื่องจากสเป็กของเครื่องยนต์ BMW X1 ตัวเครื่องยนต์ 20d ที่มีแรงม้าแรงบิดมากกว่านั้น เป็นเครื่องยนต์รหัสเดียวกันกับBMW X1 18d เวอร์ชันของไทย แต่อาจจะมีรายละเอียดอุปกรณ์บางชิ้นที่แตกต่างกันตามประเทศที่ผลิต

หน้าตาฝาครอบเครื่องยนต์นั้นชวนให้นึกถึง Mini เสียจริงๆ

DRiVE
ได้เวลากดปุ่มStart แล้วไปขับกันเถอะ!

ชาว Bimmer หลายท่านคงอยากทราบแล้วว่าหลังจากที่ BMW ตัดสินใจให้ X1 F48 เปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแล้ว Feeling การขับขี่ต่างๆ จะทำให้เสีย DNA รถยนต์ขับหลังซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็น The Ultimate Driving Machine หรือไม่?

เริ่มกันที่ช่วงล่างในลำดับแรก ต้องบอกก่อนเลยว่าช่วงล่างของ BMW X1 sDrive18d xLine ที่จำหน่ายในไทยนั้น เป็นช่วงล่างแบบปกติซึ่งไม่สามารถปรับความหนืดได้เหมือนรุ่นพี่ BMW X5 xDrive40e

บุคลิกของ BMW X1 โฉมปัจจุบัน แม้ว่าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแล้วนั้นก็ยังสามารถคงบุคลิกการขับสนุกสนานแบบ BMW ไว้ได้อย่างครบถ้วน Feeling ช่วงล่างหากเป็นวัยรุ่น หรือวัยทำงานตอนต้นจะรู้สึกว่ามันกำลังนุ่มหนึบดีและเฟิร์มใช้ได้ สามารถขับได้ไม่มีเรื่องใดให้บ่น แต่หากเป็นวัยผู้ใหญ่มีอายุขึ้นมาหน่อย และส่วนใหญ่ใช้แต่รถยนต์ที่นุ่มนวลมากๆ มาก่อน อาจจะรู้สึกว่าช่วงล่างของรถเวลาวิ่งผ่านฝาท่อระบายน้ำในกรุงเทพจะรู้สึกตึงตังสักเล็กน้อย สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากยางติดรถ Run flat ที่แข็งตามนิสัยและตัวเบาะที่มีฟองน้ำค่อนข้างแข็ง

แต่อาการเหล่านี้จะเด่นชัดแค่ตอนผ่านช่วงถนนที่แย่ขรุขระจริงๆ และช่วงวิ่งช้าๆ ในเมืองผ่านฝาท่อระบายน้ำเท่านั้น เมื่อใดที่รถได้วิ่งบนทางด่วนหรือใช้ความเร็วในระดับนึง ช่วงล่างของ BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้จะให้ความมั่นใจได้มากและนั่งสบาย เมื่อใช้ความเร็วหรือเข้าโค้งต่างๆ ก็สามารถหักเปลี่ยนเลนได้อย่างมั่นคง

อีกหนึ่งคำชมจากใจผู้เขียนถึงวิศวกรที่ออกแบบโครงสร้างของ BMW X1 F48 เลยก็คือการปรับจูนแชสซีส์ของรถ ที่สามารถจูนออกมาได้เฟิร์มมากๆ ทำให้เวลาเลี้ยวเข้าโค้งแคบหรือหักศอก รถก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งคัน และนั่นทำให้ BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้ขับในโค้งได้สนุกมากๆ!

Feeling ของพวงมาลัยใน โหมด Comfort นั้นก็มีน้ำหนักและความไวและคมกำลังดีสำหรับการใช้งานในเมืองและบนทางด่วนในความเร็วที่กฎหมายกำหนดเหมาะสำหรับคนที่เขาขับรถกันแบบปกติ หากแต่อาจจะเบาไปซักนิดนึงสำหรับการเข้าโค้งบนทางด่วนตอนความเร็วสูง แต่สามารถเพิ่มน้ำหนักของพวงมาลัยได้จากการเปลี่ยนไปใช้โหมด Sport ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยให้มั่นใจขึ้นแล้ว ยังทำให้คันเร่งและเกียร์ของ BMW X1 คันนี้กระฉับกระเฉงขึ้นด้วย

BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้มีโหมดการขับขี่ ให้เลือกถึง 3 โหมด

โหมด Eco Pro เป็น โหมด ประหยัดพลังงานรถสูงสุด การตอบสนองคันเร่งจะหน่วงและเกียร์จะเปลี่ยนให้รอบเครื่องยนต์ต่ำที่สุด เครื่องปรับอากาศจะถูกลดพัดลมลง ลดการใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด

โหมด Comfort เป็นโหมดการขับขี่มาตรฐานตั้งแต่เริ่มสตาร์ท

โหมด Sport รอบเครื่องยนต์และเกียร์จะถูกปรับให้สูงขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้นเพื่อรับกับบทบู๊ได้เหมาะสมกว่า โหมด Comfort เดิม

ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ BMW X1 sDrive18d xLine ทางโรงงานเคลมไว้ 9.2 วินาที ผลจากการทดสอบสั้นๆ บนถนนจริง ในอุณหภูมิกรุงเทพบ้านเรา น้ำมันดีเซลปกติ ทั้งโหมด Comfort และ Sport โดยในโหมด Comfort จะคาเกียร์ไว้ที่ D ปกติ แต่โหมด Sport จะคาไว้ที่ D/S ทั้งคู่ปล่อยให้รถจัดการเปลี่ยนเกียร์เอง

พบว่ามีเรื่องให้เซอร์ไพรส์กันเล็กน้อย เพราะโหมด Comfort ดันทำอัตราเร่งได้ไวสุด ผิดคาด! อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 9.7 วินาที ส่วนโหมด Sport อยู่ที่ 10 วินาที…

แน่นอนว่า BMW ไม่ได้ใส่ปุ่มสลับกันหรืออะไรแบบนั้น แต่สาเหตุเกิดจากแรงบิดของเครื่องดีเซลที่เยอะจนล้นทะลัก การที่รถออกตัวจนล้อฟรีทิ้งในโหมดSport (แน่ใจนะว่านี่ SAV พ่อบ้านคันจิ๋ว?) จึงทำให้เสียเวลามากกว่าการออกตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปในโหมด Comfort ไม่แน่หากได้ยางที่เหนียวหนึบกว่าชุดที่ติดรถมาอาจจะทำให้ตัวเลขสวยกว่านี้อีกก็เป็นได้

เรามีคลิปมาฝากกันเช่นเคยครับ

เมื่อลองขับใช้งานประจำวันพบว่า BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้มีอัตราเร่งที่เหลือเฟือสำหรับการใช้งานในเมืองและนอกเมือง แรงบิดจากขุมพลังดีเซลนั้นสามารถเรียกใช้ได้อย่างทันทวงที รถจึงคล่องตัวมากๆ เวลาที่ต้องมุดเปลี่ยนเลนในเมือง ส่วนนอกเมืองก็ยังมีพลังเหลือเฟือสำหรับการขับตามความเร็วที่กฏหมายกำหนดและมีกำลังเร่งแซงเพียงพอต่อความต้องการ

แต่สิ่งที่ BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้แอบไม่เหมือน BMW ดีเซลทั่วไปที่เรารู้จักก็คือ แรงดึงที่สนุกสนานจะจำกัดอยู่แค่ช่วงรอบต้นถึงกลางเท่านั้น ต่างจาก BMW ดีเซลส่วนใหญ่ที่ดึงหวานและหนักตั้งแต่รอบต้นจดปลาย ทำให้เวลาลากรอบแล้วรู้สึกเหมือนอะไรมันหายไปสักอย่าง เป็นไปได้ว่า BMW อาจจะต้องการให้ตัว 18d เน้นไปทางประหยัดน้ำมันมากกว่า 20d ที่ไม่ได้มาขายในบ้านเรา

ส่วนตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตลอดระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ที่ทาง Bimmer-th ทดลองขับใช้งานในหลายๆ รูปแบบ  เริ่มจากเดินทางไกลที่ความเร็วมาตรฐาน 100-120 กม./ชม.และบางจังหวะอาจมีเร่งแซงเกินเลย 120 กม./ชม. ไปบ้าง ระยะทางรวมทั้งหมด 100.4 กม. แล้วเติมน้ำมันกลับ

รวมระยะทางที่วิ่งไป 100.4 กิโลเมตร

ผลที่ได้!
Trip Computer โชว์อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 19.4 กม./ลิตร !!

จากการเติมน้ำมันกลับโดยเติมแค่พอให้หัวจ่ายน้ำมันตัด สามารถเติมน้ำมันกลับได้ 5.155 ลิตร และเมื่อนำมาหารกับระยะทางที่วิ่งไป 100.4 กิโลเมตร

จะได้ผลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงออกมาอยู่ที่ 19.49 กม./ลิตร!! นับว่า Computer ของรถสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ และ BMW X1 sDrive18d xLine คันนี้สามารถทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ในระดับที่ดีเกินความคาดหมายของพวกเราไปอย่างมาก

สำหรับถังที่ขับใช้งานในเมือง ทั้งช่วงคลานในการจราจรที่ติดขัดบนถนนสุขุมวิทและการใช้ทดสอบอัตราเร่งต่างๆ แบบตามใจเท้า คอมพิวเตอร์ของ BMW X1 sDrive18d xLine ก็ยังโชว์ตัวเลขอยู่ที่ 12.9 กม./ลิตร นับว่าไม่แย่…ดีมากเลยล่ะสำหรับการใช้งานในเมืองและการขับในลักษณะนี้

บทส่งท้าย

การออกแบบทั้ง ภายใน ภายนอก และเส้นสายของตัวรถ ที่มีความลงตัวสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัยมากขึ้นกว่าเก่านั้น ทำให้ BMW X1 โฉมนี้ สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้คนและในหลายๆ ครอบครัวเวลาโหวตออกเสียงมติเลือกซื้อรถได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่อยากเห็นใน BMW X1 เพิ่มเติมคือ อ๊อพชั่นของรถบางชิ้นที่ควรเพิ่มเติม เพื่อให้ทันต่อตลาดในยุคปี คศ. 2017 และกำลังของเครื่องยนต์ที่น่าจะมีทางเลือกให้สำหรับลูกค้าเพิ่มเติมอีกซักหน่อย แม้ว่าเครื่องยนต์ของ BMW X1 sDrive18d คันนี้นั้น จะมีกำลังที่เหลือเพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว แต่ก็น่าจะมีทางเลือกเพิ่มเติมให้สำหรับลูกค้าอีกกลุ่มที่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์มากกว่านี้ (พละกำลังของเครื่อง 20d น่าจะเป็นทางออกที่กำลังดี) ถ้าเป็นจริงได้ BMW X1 คันนี้จะเป็นรถที่ขับได้สนุกกว่านี้อีกมาก!

ในบางครั้งบางช่วงชีวิตของเรา อาจต้องมีบางคราวที่ต้องยอมเสียหรือสละความคิดจุดยืนบางอย่างของตนเองออกไป เพื่อให้ก้าวเดินต่อไปนั้นสามารถไปได้ไกลกว่าเดิม ดั่งเช่นกับสิ่งที่ BMW เลือกสละจุดยืนบางอย่างสำหรับทางเดินของ BMW X1 sDrive18d xLine F48 รุ่นนี้

แม้ว่าการเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังและระบบขับเคลื่อนในครั้งนี้ อาจจะขัดใจต่อแฟนๆ BMW ชาว Bimmer บางท่านไปบ้าง แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ ว่า BMW X1 คันนี้แม้จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างวิศวกรรมไปแค่ไหน ก็ไม่สามารถลบจุดยืน DNA ของความเป็นรถยนต์ที่ผู้คนต่างกล่าวขานว่าเป็น The Ultimate Driving Machine ไปได้จริงๆ

ความเห็นเสริมจากทีม Bimmer-TH

ความเห็นเสริมจาก Pan Paitoonpong

“ถ้าไม่นับเรื่องที่คุณต้องสูญเสียความสนุกเวลาเข้าโค้งแล้วตอกคันเร่งให้ท้ายปัดเล่น X1 รุ่นใหม่นี้ถือว่ามีความก้าวหน้าขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม และเป็นไปเพื่อการตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เบาะหลังมีพื้นที่มากกว่าเดิม ห้องโดยสารโปร่งกว่าเดิม แต่ตัวเบาะของรุ่น xLine นั้นยังไม่นั่งสบายเท่าพวกรุ่นพี่ ออกแนวแข็งๆและไม่มีการหนุนด้านข้างลำตัวดีเท่าที่ควรแล้วยังมีขนาดค่อนข้างเล็ก เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรดีเซลใน X1 นี้ให้พลังขับเคลื่อนเพียงพอสำหรับการเดินทางไกล ขึ้นเขาขึ้นเนินสบาย แต่ขาดความไหลลื่นในรอบสูงซึ่งเป็นจุดเด่นของ X1 รุ่นเก่าที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ราคาค่าตัวกับอุปกรณ์ที่ให้มายังไม่จัดว่าเด่นนักเพราะขาด Cruise Control แต่ขอชมจอ Head Up Display ว่าทำมาได้ดี ช่วยให้อ่านค่าได้ชัดเจน และแสดงค่าระบบนำทางได้ด้วย”

ราคา BMW X1 F48 ทั้งสามรุ่นย่อย ณ วันที่19/04/2017
BMW X1 sDrive18i xLine                   ราคา 2,299,000
BMW X1 sDrive18d xLine                  ราคา 2,499,000 (รุ่นที่นำมารีวิว)
BMW X1 sDrive18d M Sport              ราคา 2,599,000

ขอขอบคุณ 

BMW Thailand

บทความโดย

ธิติพัทธ์ หิรัญบวรทิพย์


สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาถ้อยคำรูปภาพในบทความโดยผู้เขียนและเว็บไซต์ Bimmer-TH.com
กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปใช้ 

The following two tabs change content below.

Thitipat Hiranbavorntip

Eat Sleep Drive // First Jobber ผู้ลุ่มหลงกับเสียงเครื่องยนต์และโค้งบนภูเขา

Comments

comments