เปิดรถใหม่ BMW M2 Competition-พยัคฆ์ร้ายสไตล์เผ็ด ของเด็ดจาก M Division

นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคมปี 2015 BMW M2 (F87) กลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน แรง และโหดสไตล์ BMW M มันได้รับคำชมจากสื่อมวลชนทั้งในไทยและต่างประเทศว่าเป็นรถ Performance Car ที่ทำทุกอย่างได้ตรงตามคำนิยามมากที่สุดรุ่นหนึ่ง แต่ด้วยความที่ตัวรถนั้น เกิดมาจากการเอาบอดี้หลักของซีรีส์ 2 รวมกับชิ้นส่วนต่างๆจากรถรุ่นอื่นในค่าย บวกกับเครื่องยนต์ N55B30 ซึ่งไม่ได้มีรากฐานมาจากทีมวิศวกร M หากแต่เป็นเครื่องยนต์ที่โมดิฟายเพิ่มมาจากบล็อค 6 สูบเรียงเทอร์โบที่ใช้อยู่ในรถรุ่นปกติ ทำให้บางคนมองว่ามันไม่ใช่ M Car ที่แท้จริง แต่ในวันนี้ ข้อกังขาดังกล่าวจะถูกทำลายลง

BMW ที่เยอรมนี เผยแพร่รูปภาพและรายละเอียดอย่างเป็นทางการของ M2 Competition ใหม่ในวันที่ 18 เมษายน 2018 มันคือรถที่สืบทอดเจตนารมย์ ความเป็นรถเล็กพริกขี้หนู ขนาดตัวถังกำลังดี แต่แรงและขับสนุกแบบรถขับหลัง ตรงตาม DNA ของ BMW ที่มีมาแต่ช้านาน แต่มาคราวนี้ ทีมวิศวกรยกเครื่องยนต์ N55 เดิมทิ้ง แล้วจับบล็อค S55 จาก BMW M3 และ M4 มาใส่แทน เพิ่มสมรรถนะจากเดิมที่ดีอยู่แล้ว ให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก แรงม้าเพิ่มจาก 370 เป็น 410 แรงม้า พร้อมกันนี้ยังมีการเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายประการ

ในเอกสารสำหรับสื่อมวลชนของ BMW มีการระบุไว้ว่า M2 Competition “will replace its predecessor, M2 Coupe” ซึ่งถ้าหากแปลตรงตัวก็คือ M2 Competition นั้นจะไม่ใช่รถรุ่นย่อยใหม่ที่มาเป็นทางเลือก แต่จะมาทำตลาดแทน M2 Coupe LCI เลยทีเดียว งานนี้จะจริงหรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไป แต่ก่อนอื่นเรามาดูรายละเอียดของเจ้าตัวแสบกันดีกว่า

M2 Competition คันที่เห็นในภาพโปรโมตนี้ ใช้โทนสีใหม่ที่เรียกว่า Hockenheim Silver Metallic ซึ่งนอกจากสีเงินนี้แล้ว ก็จะยังมีสีใหม่ที่ยกมาจากซีรีส์ 4 อย่าง Sunset Orange เพิ่มมาอีกสีหนึ่ง

เมื่อพิจารณาจากด้านหน้ารถ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจาก M2 รุ่นเดิมก็คือกระจังหน้าที่ถูกออกแบบทรวดทรงใหม่ ขยายขนาดช่องรับอากาศให้โตขึ้น และทำสีเป็นสีดำเงา (Gloss black) ให้รับกันกับวัสดุสีดำเงาบริเวณกรอบกระจกหน้าต่างซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ M2 Competition นอกจากนี้ กันชนหน้าทั้งชิ้นก็ถูกเปลี่ยนทรงใหม่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อขยายพื้นที่รับอากาศสำหรับการระบายความร้อน ส่วนไฟหน้าที่ใช้ก็ยังเป็นแบบ Adaptive LED ทรงหกเหลี่ยมคู่ต่อข้าง ปิดทับด้วยฝาครอบพลาสติกแข็งเช่นเดิม

กระจกมองข้างถูกเปลี่ยนใหม่มาใช้กระจกทรง M Double-arm Design เหมือนกับรุ่นพี่ ส่วนที่แก้มข้างจะมีช่องระบายความร้อนขนาดเล็ก ทำเป็นสีดำเงาเช่นเดียวกับกระจังหน้า

ด้านท้าย จะเห็นชุดท่อไอเสียออกข้างละ 2 ท่อ ซึ่ง BMW เคลมว่าชุดท่อไอเสียของ M2 Competition นั้นเป็นของใหม่ยกชุด หม้อพักปลายทรงเท่ห์ทำเป็นสี Black Chrome มีแผ่นปิด/เปิดเพื่อปรับความดังของเสียงท่อข้างละชุด โดยทำงานสัมพันธ์กับชุดควบคุม M Dynamic Performance Control ซึ่งจะมีสวิตช์อยู่ที่คอนโซลกลาง

M2 Competition มีขนาดตัวถังยาว 4,461 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,410 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,693 มิลลิเมตร ระยะความกว้างของช่วงล้อหน้า/หลัง (Front/Rear Track) เท่ากับ 1,579 และ 1,601 มิลลิเมตรตามลำดับ ขนาดความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd=0.36

สำหรับน้ำหนักตัวถังนั้น ถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ วัดตามมาตรฐาน EU 1,625 กิโลกรัม ส่วนรุ่นเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะอยู่ที่ 1,650 กิโลกรัม (ถ้าจะวัดเอาตามมาตรฐานเยอรมัน-DIN- ก็จะได้ 1,550 และ 1,575 กิโลกรัมตามลำดับ)

ภายในนั้น องค์ประกอบส่วนมากยังมีรูปแบบคล้าย M2 Coupe เดิม แต่บนพวงมาลัย M นั้น จะมีการเพิ่มปุ่มบันทึกโหมดการขับขี่ที่ชอบ 2 ตำแหน่ง (M1/M2) มาให้ มีการนำวัสดุลายคาร์บอนมาตกแต่งตั้งแต่กรอบแอร์กลางยาวไปจนถึงฝั่งผู้โดยสาร และเปลี่ยนปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เป็นสีแดง

ชุดมาตรวัด ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ โดยเป็นหน้าจอแบบ Black Panel ที่ในยามปกติจะมืดสนิท เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์จะมีโลโก้ M2 Competition สว่างขึ้นชั่วขณะ มีการบอกข้อมูลต่างๆครบครันรวมถึงการปรับโหมดต่างๆที่คนขับเลือกเอาไว้

ใน M2 Competition นี้ ยังมีอุปกรณ์สั่งพิเศษเพิ่มเข้ามา ซึ่งก็คือเบาะ M Sport Seat แบบใหม่ หุ้มปีกด้วยหนังกลับ Alcantara สามารถเลือกโทนสีแซมได้ว่าจะเอาสีน้ำเงินหรือสีส้ม ตัวเบาะนั้นออกแบบและวิจัยโดยอาศัยประสบการณ์ทางมอเตอร์สปอร์ตเข้ามาช่วย ทำให้สามารถรัดตัวคนขับกับที่นั่งได้ดี แต่ยังคงเหลือความสบายเอาไว้ใช้งาน สามารถปรับส่วนต่างๆได้อย่างอิสระ แถมในยามกลางคืนนั้น โลโก้ M2 บนตัวเบาะจะเรืองแสงได้อีกด้วย

หัวใจของ M2 Competition ใหม่ นับว่าเป็นกุญแจดอกเอกแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ซึ่งก็คือการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ N55B30 เทอร์โบเดี่ยว Twin-scroll เสื้อสูบเปิด (Open-deck) ไปใช้แบบ S55B30 เทอร์โบคู่ Single Scroll เสื้อสูบตัน (Close-deck) เช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่าง BMW M3/M4 แต่เพื่อไม่ให้เกิดการปีนเกลียวระหว่างพี่กับน้องจึงถูกปรับจูนลดแรงม้าลงเล็กน้อย

รายละเอียดของเครื่องยนต์นั้น เป็นแบบ 6 สูบเรียง อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 ลูก ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ High Precision Direct Injection พร้อมระบบ Valvetronic และวาล์วแปรผัน Double-VANOS ความจุ 2,979 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ 84.0 มิลลิเมตร ช่วงชักกระบอกสูบ 89.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2:1 ให้แรงม้าสูงสุด 410 hp ตั้งแต่ 5,250-7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 550 นิวตันเมตรตั้งแต่ 2,350-5,200 รอบต่อนาที

นอกจากจะยกเครื่องยนต์มาจาก M3/M4 แล้วระบบระบายความร้อน อินเตอร์คูลเลอร์ รวมถึงระบบปั๊มน้ำมันเครื่องก็เป็นสเป็คเดียวกัน โดยเฉพาะชุดหม้อน้ำและระบบระบายความร้อนนั้น M2 Competition ได้ใช้ของดีที่ยกมาจาก M4 Competition Package เลยทีเดียว แต่ได้รับการปรับรายละเอียดบางส่วนให้เหมาะกับตัวรถ โดยจะมีหม้อน้ำใหญ่ตรงกลาง 1 ชุด หม้อน้ำเล็กอีก 2 ขนาบซ้าย-ขวา และมีระบบระบายความร้อนน้ำมันเครื่อง (Oil Cooler) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในรถที่ใช้เกียร์คลัตช์คู่ จะมี Oil Cooler แยกสำหรับน้ำมันเกียร์เพิ่มมาอีกต่างหาก

BMW ใช้คำว่า “Race-ready” สำหรับระบบนี้ นั่นหมายความว่าคุณสามารถขับมันได้อย่างสบายใจในวันปกติ และเอาไปวิ่งเล่นในสนามแข่งได้ขำขำโดยที่ไม่ต้องไปปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม

ถ้าสังเกตภายในห้องเครื่องยนต์ ก็จะเห็นส่วนที่เป็นคาร์บอนเงา ซึ่งเป็นจุดค้ำตัวถัง (Precision Strut) ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับ M2 Competition ดัดแปลงมาจากชิ้นส่วนของรถ M3/M4 ทำให้ห้องเครื่องดูมีความอลังการ แล้วยังมีประโยชน์จริงในแง่ของการลดอาการบิดของตัวถังเวลากระแทกบัมพ์หรือเข้าโค้งอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนทั้งชิ้นนี้มีน้ำหนักแค่เพียง 1.5 กิโลกรัมเท่านั้น

ระบบส่งกำลังมีให้เลือก 2 แบบเช่นเดียวกับ M2 รุ่นก่อน โดยแบบที่ตลาดนิยมที่สุด คือแบบคลัตช์คู่ M-DCT 7 Speed Double Clutch Transmission with DriveLogic ซึ่งมีอัตราทดเกียร์ดังนี้

  • เกียร์ 1 – 4.806
  • เกียร์ 2 – 2.593
  • เกียร์ 3 – 1.701
  • เกียร์ 4 – 1.277
  • เกียร์ 5 – 1.000
  • เกียร์ 6 – 0.844
  • เกียร์ 7 – 0.671

ส่วนเกียร์ถอยหลัง ทดไว้ที่ 4.172 เฟืองท้ายเท่ากับ 3.462

ในรุ่นเกียร์ M-DCT นี้จะมีแพดเดิ้ลชิฟท์ที่หลังพวงมาลัย และสามารถปรับโหมดมาตรฐานการตอบสนองแบบ Comfort, Sport และ Sport + ได้ และในโหมดเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ ผู้ขับก็ยังสามารถกำหนดได้ว่าจะให้เปลี่ยนเกียร์นุ่ม/แรงขนาดไหน รวมถึงการทำงานของระบบตีรอบเครื่องขึ้นรับเกียร์ต่ำในขณะคิกดาวน์อีกด้วย

ส่วนแบบที่สอง คือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มีอัตราทดดังนี้

  • เกียร์ 1 – 4.110
  • เกียร์ 2 – 2.315
  • เกียร์ 3 – 1.542
  • เกียร์ 4 – 1.179
  • เกียร์ 5 – 1.000
  • เกียร์ 6 – 0.846

ส่วนเกียร์ถอยหลัง ทดไว้ที่ 3.727 เฟืองท้ายเท่ากับ 3.462

รุ่นเกียร์ธรรมดานี้ นอกจากจะใช้อ่างน้ำมันเกียร์แบบ Wet Sump ที่หล่อลื่นหล่อเลี้ยงเฟืองเกียร์ได้อย่างทั่วถึงแล้ว ก็ยังมีระบบ RevMatching ซึ่งเมื่อขับแบบเหาะมาเร็วๆแล้วใส่เกียร์ต่ำ กล่อง ECU จะสั่งเบิ้ลรอบเครื่องให้สัมพันธ์กับความเร็วและเกียร์ที่เรากำลังจะเปลี่ยนไปหาโดยอัตโนมัติ หรือเวลาเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูง ระบบก็จะคำนวณจากความเร็ว แล้วลดรอบเครื่องไปรอในจุดที่เหมาะสม แต่ระบบนี้จะหยุดทำงานถ้าคนขับปิด DSC

สำหรับช่วงล่างนั้น ด้านหน้าเป็นแบบอิสระสตรัท Double-joint ปีกนกทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ยกมาจาก M4 ส่วนด้านหลังก็เป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ (5-Link) พร้อมปีกนกอะลูมิเนียม ซึ่งก็ยกมาจาก M4 เช่นกัน มีการจูนปรับองศาของช่วงล่างและระยะการยุบยืดโดยทีมวิศวกร M Division ส่วนระบบบังคับเลี้ยวนั้น เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า M Servotronic อัตราทดเฟืองอยู่ที่ 15.0:1 ซึ่งสามารถปรับน้ำหนักความตึงมือของพวงมาลัยได้ด้วยสวิตช์บริเวณข้างคันเกียร์

ระบบเบรกในสเป็คมาตรฐาน จะเป็นเบรกแบบ M Compound คาลิเปอร์เบรกสีน้ำเงิน ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนและเจาะรู ขนาด 380 มิลลิเมตร ห้ามล้อด้วยคาลิเปอร์แบบ 4 Pot ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเจาะรูพร้อมครีบระบายความร้อนขนาด 370 มิลลิเมตร ใช้คาลิเปอร์แบบ 2 Pot

ถ้าอยากได้เบรกดีกว่านี้ ก็ขอแนะนำให้สั่งออพชั่น M Sport Brakes ซึ่งจะเพิ่มขนาดจานเบรกหน้าเป็น 400 มิลลิเมตร ด้านหลังเพิ่มเป็น 380 มิลลิเมตร คาลิเปอร์สีเทาพร้อมผ้าเบรกขนาดโตกว่าปกติ ด้านหน้าเป็นคาลิเปอร์ 6 Pot และด้านหลังเป็นคาลิเปอร์แบบ 4 Pot

ล้อและยางที่ใช้ ด้านหน้าเป็นขนาด 245/35ZR ล้อขนาด 19 นิ้ว ความกว้างกระทะล้อ 9.0 นิ้ว ด้านหลังใช้ยางขนาด 265/35ZR ล้อขนาด 19 นิ้ว ความกว้างกระทะล้อ 10 นิ้ว

เพื่อการขับเคลื่อนที่มันส์ตามใจสั่ง BMW M2 Competition ยังมาพร้อมกับเฟืองท้ายแบบ M Active Differential ซึ่งสามารถปรับอัตราการล็อคการกระจายกำลังระหว่างล้อหลังด้านซ้ายและขวา โดยสามารถสั่งล็อคได้ตั้งแต่ 0-100% แปรผันไปตามลักษณะการขับขี่และโหมดการขับขี่ที่เลือก โดยจะประมวลผลจาก องศาคันเร่ง, องศาพวงมาลัย, แรงเหวี่ยงออกข้าง, แรงบิดจากเครื่องยนต์, ความเร็วการหมุนของล้อแต่ละข้างและแรงกดที่เบรก

นอกจากผู้ขับจะสามารถเซ็ตนิสัยการตอบสนองของเกียร์ คันเร่ง และพวงมาลัยแยกกันอย่างอิสระได้แล้ว M2 Competition ยังมีปุ่ม M1 และ M2 บนพวงมาลัย เพื่อให้ผู้ขับสามารถปรับเซ็ตค่าการตอบสนองของส่วนต่างๆในตัวรถ แล้วบันทึกเอาไว้ในความจำบน 2 ปุ่มนี้ เพื่อที่ถึงเวลาเรียกใช้ จะได้ไม่ต้องมานั่งปรับใหม่ทีละส่วนให้เสียเวลา ส่วนระบบ Dynamic Stability Control นั้นก็มีการปรับใหม่หมด พร้อมฟังก์ชั่น MDM – M Dynamic Mode ซึ่งสามารถกดใช้ได้เลย หรือเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อตั้งโหมดตอบสนองเป็น Sport+ เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ระบบรักษาการทรงตัวและ Traction Control จะพยายามไม่เข้ามายุ่งกับคำสั่งของเรา ปล่อยให้คนขับสนุกได้เต็มที่และจะช่วยก็ต่อเมื่อถึงภาวะจวนตัวจริงๆ สนุกการการเปิด DSC ไว้ และปลอดภัยกว่าการปิด DSC ทิ้ง

สำหรับตัวเลขสมรรถนะนั้น M2 Competition ใหม่มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาแค่ 4.2 วินาทีในรุ่น M-DCT และ 4.4 วินาทีในรุ่นเกียร์ธรรมดา ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าสั่งออพชั่น M Driver’s Package ทีมวิศวกรเขาก็จะใจดีขยับจุดล็อคเพิ่มให้เป็น 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เพิ่มจากสมัยเป็น M2 Coupe อีก 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) อัตราการปล่อย CO2 ในรุ่น M-DCT อยู่ที่ 225-228 กรัมต่อกิโลเมตร

และทั้งหมดนี้ก็คือความแสบของ BMW M2 Competition สายพันธุ์ใหม่ของ M ฉบับเล็กพริกขี้หนู ที่รวมเอาพละกำลังของ M3/M4 รุ่นพี่ อุปกรณ์ และชุดควบคุมการขับขี่แบบเดียวกัน เข้ามาอยู่บนตัวถังที่มีขนาดเล็กกว่า (แต่อาจจะไม่เบากว่า เพราะอย่าลืมว่า M4 มีชิ้นส่วนที่ทำมาจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาอยู่มาก)

ราคาขายของ M2 Competition น่าจะแพงกว่า M2 Coupe เดิมด้วยต้นทุนด้านเครื่องยนต์และวัสดุที่สูงขึ้น แต่กระนั้นก็น่าจะยังถูกกว่า M4 รุ่นมาตรฐานในระดับที่สามารถสร้างความสนใจให้กับลูกค้ากลุ่มที่ชื่นชอบรถขนาดเล็กได้ มาถึงเมืองไทย ก็ลองลุ้นกันดูครับว่าราคาจะเลยป้ายหกล้านของ M2 Coupe LCI ไปเท่าไหร่ แต่ภาวนาว่าอย่าให้แพงเกินแล้วกัน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนรอเป็นเจ้าของอยู่นับตั้งแต่อ่านบทความนี้เสร็จ!

 

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments