รีวิว BMW 740Le xDrive iPerformance รถเสียบปลั๊ก ที่หรูที่สุดจาก BMW

ถ้าได้ยินชื่อของ “ซีรีส์ 7” ใครๆ ก็ต้องนึกถึงความหรูหรา ของรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่ของค่าย BMW ที่ได้รับความไว้วางใจจากนักธุรกิจ ผู้บริหาร และผู้ที่ต้องการความสบายในการเดินทางอย่างแน่นอน แต่ในอีกมุมหนึ่ง ซีรีส์ 7 นี่แหละครับ คือรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยแทบจะทุกอย่างของค่าย BMW และ BMW 740Le xDrive iPerformance คันนี้ คือรถยนต์ที่ BMW พิสูจน์ว่า เทคโนโลยีแทบทุกอย่างที่ BMW พัฒนาขึ้นมา จะมาอยู่ในรถยนต์คันเดียวกันได้

BMW 7 Series โฉมปัจจุบัน ในรหัสตัวถัง G12 ได้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว แต่มันยังคงเป็น BMW รุ่นเรือธง ที่คงความหรูหรา สะดวกสบาย และมีความล้ำยุคทางด้านเทคโนโลยีอย่างครบถ้วน ซึ่งล่าสุด ทาง BMW Thailand ได้เปิดตัวรุ่นย่อยรุ่นใหม่ของ BMW 7 Series ในโฉมนี้ และมันคือคันที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้อย่างเจาะลึกครับ นั่นก็คือ BMW 740Le xDrive Pure Excellence รถยนต์ BMW ซีรีส์ 7 รุ่นแรก ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด

BMW 740Le xDrive Pure Excellence

ถ้าพูดถึงความสวยงาม หรูหรา สมกับที่เป็นรถยนต์รุ่นเรือธงของ BMW แล้ว หน้าตาของ BMW 7 Series โฉมนี้ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีครับ โดยรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด จะเป็นรุ่นฐานล้อยาว (long wheelbase) เพื่อความสบายของผู้โดยสารแถวหลังที่มากขึ้น ตัวรถมีความยาวมากถึง 5.24 เมตร และกว้าง 1.90 เมตร เรียกได้ว่า นี่เป็นหนึ่งในรถยนต์ซีดานที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดรุ่นหนึ่งบนท้องถนนของประเทศไทยเลยล่ะครับ

แต่ BMW 7 Series ไม่ได้มาแค่ความใหญ่โตนะครับ เพราะมันคือรถยนต์ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ของ BMW อย่างครบถ้วนที่สุด สมบูรณ์แบบทั้งเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ เครื่องยนต์ อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับ เทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องของความสะดวกสบายในห้องโดยสาร และล่าสุด คือ BMW ได้นำเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เข้ามาอยู่ใน BMW 7 Series เป็นที่เรียบร้อย เราไปเจาะลึกทีละส่วนกันครับว่า รถยนต์รุ่นเรือธง 1 คันนี้ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง …

“ซีรีส์ 7” รุ่นแรก ที่เสียบปลั๊กได้!

แท้จริงแล้วเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดของ BMW นี่ถูกเปิดตัวมาหลายปีแล้วครับ และไปปรากฏอยู่ในรถยนต์ iPerformance หลากหลายรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น BMW 330e ที่ตลาดเมืองไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หรืออย่าง BMW X5 xDrive40e ที่ได้รับความนิยมในไทยเช่นกัน ไม่นับรวมถึงรุ่นพี่ ที่เป็นต้นตำรับของปลั๊กอินไฮบริดอย่าง BMW i8 รถสปอร์ตไฮบริดสุดล้ำของ BMW i ที่มาถึงเวลานี้ ก็น่าจะเริ่มพูดได้ว่า เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ไม่ใช่เรื่องใหม่ของ BMW แล้ว เพียงแต่ว่า นี่คือครั้งแรกที่ “BMW ซีรีส์ 7” จะมีรุ่นปลั๊กอินไฮบริดกับเขาบ้าง และก็เปิดตัวมาในรุ่นย่อยที่ชื่อ BMW 740Le xDrive iPerformance ที่ทาง BMW Thailand นำเข้ามาจำหน่ายด้วยการตกแต่งแบบ Pure Excellence

ความพิเศษของปลั๊กอินไฮบริดใน 740Le ตัวนี้ ที่โดดเด่นเหนือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นอื่นๆ ของ BMW ก็คือ ขนาดของแบตเตอรี่แรงดันสูง เติบโตขึ้นจากความได้เปรียบของขนาดตัวถังรถยนต์เป็น 9.2 kWh สามารถทำระยะได้ไกลมากขึ้นกว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นอื่นๆ ทุกรุ่นในตลาด โดยระยะทางที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ ที่ผมทำได้สูงสุดใน BMW 740Le xDrive Pure Excellence คันนี้ พุ่งไปสูงแตะ 40 กิโลเมตร (จากหน้าจอที่โชว์ว่า สามารถวิ่งได้ 43km) จึงเริ่มรู้สึกว่า นี่คือระยะที่ทำให้เราสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนการขับขี่จริงในชีวิตประจำวันได้เลย ในขณะที่ยังมีเครื่องยนต์ขนาด 4 สูบ ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 2.0 ลิตร ความแรง 258 แรงม้า ไว้ตอบสนองความต้องการเพื่อต้องการพลังในการขับขี่ หรือเมื่อต้องเดินทางในระยะไกลเกินกว่าที่จะเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้

พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถ แม้ว่าจะถูกแบตเตอรีแรงดันสูงกินพื้นที่ไปบ้าง แต่ก็ยังเก็บได้มากพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ 740Le โดดเด่นกว่า iPerformance รุ่นอื่นๆ ก็คือ กำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่สามารถฉุดเอารถยนต์ซีดานขนาดใหญ่ และยาวกว่า 5.2 เมตร น้ำหนัก 2,155 กิโลกรัมคันนี้ พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้แบบไม่รู้สึกว่าต้องลุ้นอะไรเลย ในโหมด MAX eDRIVE ที่เครื่องยนต์จะเลือกใช้พลังงานจากแบตเตอรีไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 km/h และไม่ใช่แค่ในสเปกที่บอกไว้ แต่ผมได้ลองกดคันเร่งจริงๆ เพื่อไต่ไปให้ถึงความเร็ว 140 km/h ก็พบว่ามันสามารถทำได้เสียด้วย แม้ว่าที่ย่านความเร็วสูงแบบนั้นในโหมดของพลังงานไฟฟ้า จะกินแบตเตอรีในอัตราที่สูงกว่าปกติเสียหน่อย (และใช้เวลาในการไต่ไปถึงนานเสียหน่อย)

ในโหมด MAX eDRIVE สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 140 km/h โดยไม่ใช้น้ำมันเลย

ในโหมดการขับขี่ปกติ หรือว่าโหมด AUTO eDRIVE เป็นโหมดที่ถูกออกแบบให้เราไม่ต้องกังวลกับปริมาณแบตเตอรี หรืออัตราการใช้แบตเตอรีของตัวรถใดๆ ทั้งสิ้น รถยนต์จะคำนวนการใช้พลังงานที่เหมาะสมในการขับขี่ ณ เวลานั้นๆ เพื่อเลือกใช้พลังงานทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปปกติ และ จากแบตเตอรีไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เพื่อความประหยัด และ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อต้องการเร่งความเร็วขึ้นมา โดยที่ผู้ขับขี่แทบจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่า ตอนนี้รถยนต์ของเราใช้พลังงานจากขุมพลังไหน (ยกเว้นจะกดหน้าจอขึ้นมาดูเมนู Energy Flow) และสาเหตุหลักของการที่เราจะไม่ค่อยรับรู้เท่ากับในรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นอื่นๆ ก็เพราะว่า การเก็บเสียงรบกวนและการเก็บแรงสั่นสะเทือนในห้องโดยสารของ BMW 740Le ตัวนี้ทำได้ดีมากครับ เสียงจากการสตาร์ทเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติของระบบในขณะขับขี่ เราแทบจะไม่ได้ยินหรือแทบจะไม่รู้สึกเลย ยิ่งถ้าเป็นผู้โดยสารที่นั่งหลังด้วย ก็เรียกว่า นั่งชิลเพียงอย่างเดียว หรือถ้าเป็นคนขับ ก็มีหน้าที่แค่เหยียบคันเร่งออกไปตามสภาพท้องถนนปกติเท่านั้น และชาร์จไฟให้กับมันทุกครั้งที่มีโอกาส แค่นั้นเลยจริงๆ

ช่องจอด BMW i Charging Station ที่ศูนย์การค้า Central World Plaza ที่ให้รถยนต์ BMW iPerformance ใช้บริการได้ฟรี

ในบางสถานการณ์ ที่เราต้องการเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ในภายหลัง เช่น การนำรถยนต์เข้าไปใช้ในเมือง เราสามารถเลือกโหมด BATTERY CONTROL และตั้งระดับแบตเตอรีที่ต้องการได้ครับ เช่นผมเลือกโหมดนี้ และเลือกระดับแบตเตอรีเอาไว้ที่ 80% เพื่อขับจากนอกเมืองเข้าไป ตัวรถจะใช้พลังงานไฟฟ้าจนเหลือ 80% และรักษาระดับแบตเตอรีเอาไว้แบบนั้น (ระหว่างนี้มันก็จะใช้เครื่องยนต์ไปก่อน) พอเข้ามาในเมืองแล้ว ค่อยเปลี่ยนมาเป็นโหมด MAX eDRIVE เพื่อใช้กำลังไฟจากแบตเตอรีเพียงอย่างเดียว ไม่ปล่อยมลพิษ แถมยังประหยัดมากเมื่อใช้ในเมืองที่ไม่ต้องอาศัยความเร็วความแรง และไม่ต้องเร่งแซงใคร ก็สามารถทำได้เช่นกัน หรือหากรถยนต์มีแบตเตอรีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่เราตั้งไว้ ตัวรถจะใช้กำลังจากเครื่องยนต์เข้าไปชาร์จแบตเตอรีให้เรา จนกว่าจะถึงระดับที่ตั้งเอาไว้ด้วยครับ โหมดนี้มีประโยชน์อย่างมากในหลายประเทศ ที่มีการกำหนดเขตเมืองเพื่อเก็บค่าธรรมเนียมการปล่อยมลพิษในอากาศ

กุญแจ Display Key ที่มีเมนูให้เลือกเปิดแอร์รถยนต์ได้ล่วงหน้า รวมถึงบอกสถานะของรถยนต์ได้

ระบบการชาร์จไฟของ BMW iPerformance ปัจจุบัน สามารถตั้งได้หลากหลายมากครับ และมีระบบการชาร์จอัจฉริยะ ที่เราสามารถตั้งเวลาการชาร์จได้ล่วงหน้า เช่น จะเดินทางในเวลาเช้า ก็สามารถเลือกให้ระบบเริ่มประจุไฟในช่วงเช้ามืดได้ แทนที่จะเริ่มชาร์จตั้งแต่เสียบปลั๊กตอนกลางคืน หรือ เลือกให้ระบบเปิดแอร์รอไว้ก่อนเดินทางได้ล่วงหน้า ซึ่งเราจะเลือกจากเมนูในหน้าจอ iDrive หรือจะเลือกจากกุญแจ Display Key ก็ได้

Carbon Core

สัญลักษณ์ Carbon Core ติดอยู่ระหว่างประตูคู่หน้ากับคู่หลัง

BMW 7 Series โฉมใหม่นี้ มาพร้อมเทคโนโลยี BMW EfficientLightweight ที่ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถได้สูงสุดถึง 130 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับเจเนอเรชั่นก่อนหน้า ด้วยโครงสร้างตัวถังที่ผลิตด้วย Carbon Core ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ BMW ใช้ใน BMW i8 โดยใช้โครงสร้างที่ผลิตจาก Carbon Fibre-Reinforced Plastic (CFRP) ผสมผสานกับโครงสร้างเหล็กและอะลูมิเนียม ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห้องโดยสาร ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้อย่างมาก และเทคโนโลยีนี้จะยิ่งมีประโยชน์มากใน BMW 740Le xDrive Pure Excellence ที่ต้องแบกน้ำหนักของแบตเตอรีแรงดันสูงอีกนับร้อยกิโลกรัมครับ โครงสร้าง Carbon Core จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้น้ำหนักโดยรวมของ BMW 740Le อยู่ในระดับที่ BMW สามารถรีดสมรรถนะของมันออกมาได้อย่างเต็มที่

โครงสร้าง Carbon Core ของ BMW 7 Series

โครงสร้างที่มีน้ำหนักเบา ต้องมาพร้อมกับระบบแอโร่ไดนามิกที่ดีด้วย และ BMW 7 Series ก็ได้มีการออกแบบตัวถังหลากหลายส่วนให้เอื้อต่อหลักอากาศพลศาสตร์ เช่น บริเวณกระจังหน้ารถ สามารถเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ Active Air Stream เช่นเมื่อรถทำการเร่งความเร็วขึ้น ช่องนี้จะถูกเปิดออกเพื่อรับอากาศจากภายนอก และจะถูกปิดเมื่อรถมีความเร็วสูงขึ้น เพื่อจัดเรียงการไหลของอากาศจากหน้ารถไปยันด้านท้ายได้ดียิ่งขึ้น และช่องนี้ยังถูกปิดไว้เมื่อเราดับเครื่อง เพื่อรักษาอุณหภูมิของห้องเครื่องยนต์เอาไว้ได้อีกด้วย

ช่อง Air Breather บริเวณด้านหลังของซุ้มล้อคู่หน้า

บริเวณหลังซุ้มล้อด้านหน้า จะเป็นช่อง Air Breather ให้อากาศผ่านได้ครับ ซึ่งช่องนี้จะช่วยจัดเรียงให้อากาศจากซุ้มล้อคู่หน้าเข้ามาวิ่งผ่านช่อง Air Breather นี้ เพื่อแอโร่ไดนามิกที่ดีขึ้น และดีไซน์ของช่อง Air Breather นี้ก็ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ BMW หลากหลายรุ่นในปัจจุบันด้วย

Luxurious Interior Design

ความหรูหราภายในห้องโดยสารของ BMW 740Le คันนี้ มาในการตกแต่งแบบ Pure Excellence เน้นความเรียบหรูของลายไม้ Ash Grain Chestnut และเบาะหนังแท้ Nappa โทนสีน้ำตาลเข้ม คอนโซล แผงประตู และที่พักแขน หุ้มด้วยหนังทั้งหมด ขนาดที่นั่งค่อนข้างใหญ่ ออกแบบให้รองรับกับสรีระร่างกายได้อย่างลงตัว นั่งสบาย และปรับได้ละเอียดมาก

แผงควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง ออกแบบมาอย่างเรียบหรู มีปุ่มเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น สลับด้วยหน้าจอดิจิทัลสำหรับแสดงผล ส่วนหน้าจอ iDrive ด้านบน เป็นหน้าจอ iDrive เจเนอเรชั่นล่าสุด ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับระบบทัชสกรีน การปรับแอร์ทำได้ละเอียดมากๆ แยกการควบคุมซ้ายขวาอย่างอิสระ มีระบบเป่าแอร์ออกจากเบาะที่นั่ง และ มีระบบอุ่นเบาะ พร้อมทุกสภาพอากาศ และทุกฤดูในแต่ละปี

แผงสัมผัสบริเวณช่องแอร์ ที่สามารถใช้นิ้วแตะเลือกโหมดการทำงานได้

สิ่งที่ผมสังเกตได้ชัดมากๆ ใน BMW 7 Series รุ่นนี้ คือมันเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีมากครับ เงียบกว่าเจเนอเรชั่นก่อนพอสมควร และเงียบกว่ารถรุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน ให้ความเป็นส่วนตัวได้มาก และเพลิดเพลินกับระบบความบันเทิงภายในรถได้เต็มที่ เครื่องเสียงที่ให้มากับ BMW 740Le คันนี้เป็นชุดลำโพง harman/kardon รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้หลายช่องทาง ทั้งสาย USB, Bluetooth, เครื่องเล่น CD และแท่น Snap-in สำหรับติดตั้งเพิ่มเติม

ยางขอบประตู 2 ชั้น เพื่อความเงียบของห้องโดยสาร

Executive Lounge 

ไฮไลต์ของ BMW 7 Series ทุกรุ่น อยู่ที่ความสบายของผู้โดยสารแถวหลังครับ และในตัวถัง G12 เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ ก็ได้เรียกชื่อที่นั่งของผู้โดยสารแถวหลัง ว่าเป็น ‘Executive Lounge’ เลยทีเดียว ด้วยฟีเจอร์ที่นั่งที่ติดมาให้อย่างล้นหลาม เริ่มจากความสบายของเบาะนั่ง กับพื้นที่วางขาที่กว้างสบาย (จากอานิสงส์ของรุ่นฐานล้อยาว) การปรับที่นั่งแบบเหยียดขาได้เต็มที่ แอร์ที่เย็นทั่วถึง เป่าแอร์จากเบาะได้ มีแท็บเล็ตในการควบคุมทุกอย่าง มีหน้าจอแยกต่างหาก มีรีโมตควบคุม iDrive จากที่นั่งด้านหลัง เก้าอี้ปรับนวด และมีระบบจดจำตำแหน่งการปรับที่นั่งเพื่อเรียกใช้ในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว

หมอนรองศีรษะ ของผู้โดยสารแถวหลัง ถือเป็นไฮไลต์ของ BMW 7 Series ที่ให้ความสบายได้อย่างมาก

การปรับที่นั่งของ BMW 7 Series ทำได้จากหลายวิธีมากครับ แต่วิธีที่แนะนำ คือให้ทำการปรับจากหน้าจอ Tablet ที่ติดอยู่บริเวณที่พักแขนกึ่งกลางระหว่างที่นั่งซ้ายขวา ของผู้โดยสารแถวหลัง ในหน้าจอของแท็บเล็ต จะเป็นเมนูของการควบคุมสิ่งอำนวยความสะดวกในตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นที่นั่ง แอร์ วิทยุ เลือกเพลง หรือดูสถานะของรถยนต์ในปัจจุบันก็ได้ กรณีที่จะปรับที่นั่ง ก็จิ้มเข้าไปในเมนูที่นั่งได้เลย

เลือกปรับที่นั่งจาก Tablet ได้อย่างละเอียดทุกจุด แค่แตะเลือกตำแหน่งที่ต้องการ

ในเมนูนี้ จะต้องเลือกก่อนว่าจะปรับที่นั่งตัวไหน (ปรับที่นั่งผู้โดยสารได้ทั้ง 3 ตัวจากแท็บเล็ต) จากนั้น ก็เลือกปรับได้ละเอียดมากๆๆๆ ครับ เมนูแสดงการปรับแบบแยกชิ้นเอาไว้ และใช้นิ้วแตะไปยังทิศทางที่ต้องการได้เลย การปรับแบบนี้สะดวกกว่าการใช้ปุ่มที่เราสามารถปรับได้เช่นกัน จากบริเวณขอบด้านข้างที่พักแขนตรงกลางครับ หรือถ้าใครถนัดปรับจากปุ่มของตัวรถเอง ก็เลือกเอาได้เลย

ที่นั่งของ BMW 740Le คันนี้ มีฟังก์ชั่นปรับนวดได้ด้วยนะครับ (ตำแหน่งคนขับก็มีนวดด้วย ยกเว้นที่นั่งข้างคนขับ) โดยสามารถเลือกจุดที่จะให้นวดได้อย่างละเอียดยิบ ยิ่งกว่าเก้าอี้นวดดีๆ หลายๆ ยี่ห้อเสียอีก แถมยังสามารถเลือกระดับความแรงได้อีก 3 ระดับครับ ผมลองดูแล้วก็ผ่อนคลายดีมากๆ ใช้งานเวิร์กจริง สบายจริง

ของใหม่ในที่นั่งของ BMW 7 Series คือสิ่งที่ BMW เรียกว่า Vitality Programme ครับ ฟีเจอร์นี้จะทำงานร่วมกับการปรับนวดของที่นั่ง ด้วยการให้ผู้โดยสารได้ขยับร่างกาย ออกแรงขณะนั่งโดยสาร เพื่อสุขภาพที่ดีระหว่างวัน ซึ่งในหน้าจอจะมีหลายโปรแกรมให้เลือก เช่น ให้เราดันตัวต้านแรงของเบาะที่นั่งไปด้านหลัง หรือให้ขยับขาตามท่าทางที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เพื่อบริหารร่างกายส่วนที่เราต้องการ เสมือนมีฟิตเนสขนาดย่อมที่สามารถเคลื่อนที่ไปกับเราได้นั่นเองครับ เรียกว่า Wellbeing & Comfort ไปพร้อมๆ กันเลย

สำหรับที่นั่งที่มีความสบายสูงสุดของ BMW 740Le คันนี้ คือตำแหน่งของผู้โดยสารแถวหลัง ด้านซ้ายครับ เพราะจากเมนูในแท็บเล็ต ที่นั่งนี้จะเป็นเพียงที่นั่งเดียวที่สามารถกดปรับให้ที่นั่งด้านหน้าเลื่อนออกไปได้ โดยเมื่อกดปุ่มปรับเอนแล้ว ที่นั่งด้านหน้าจะค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้า และพับเอาพนักพิงศีรษะลง (เพื่อไม่ให้มันไปบังกระจกมองข้าง) เลื่อนขึ้นไปจนสุด เพิ่มพื้นที่วางขาของผู้โดยสารด้านหลังกันแบบสุดๆ จากนั้น ที่พักเท้าก็จะค่อยๆ พับลงมาจากด้านหลังของที่นั่งแถวหน้า ตำแหน่งนี้ผ่อนคลายมากๆ ครับ และแน่นอนว่า ทุกจุดสามารถปรับแต่งอย่างละเอียดได้หมด จะเอาที่พักเท้าให้สูงขึ้นอีกหน่อย ก็แค่กดจากหน้าจอบนแท็บเล็ตเอาได้เลย

Gesture Control

เพิ่มลดเสียงได้ง่ายๆ แค่เอานิ้วหมุนวนกลางอากาศ

BMW 7 Series เจเนอเรชั่นนี้ เป็น BMW รุ่นแรกที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Gesture Control หรือการสั่งงานระบบความบันเทิงในรถยนต์ด้วยท่าทางครับ ผู้ขับขี่สามารถใช้มือซ้ายทำท่าต่างๆ ลอยๆ กลางอากาศเพื่อสั่งงานคำสั่งง่ายๆ ได้ เช่น ใช้นิ้วชี้ หมุนวนตามเช็มนาฬิกา เป็นการเพิ่มเสียง หรือหมุนทวนเข็มนาฬิกา เป็นการลดเสียง หากใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ชี้เข้าไปที่ด้านหน้าตรงๆ ก็ให้เป็นการเปิดวิทยุ หรือ หากใช้ฝ่ามือปัด ไปทางซ้าย ก็จะเป็นการเลือกปฏิเสธสายเรียกเข้าที่โทรเข้ามา เป็นต้น โชว์ขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี Gesture Control ในรถยนต์ได้อย่างเหนือชั้น ใช้งานง่าย (แม้ว่าตอนแรกๆ อาจจะต้องลองให้คุ้นเคยก่อนว่าตำแหน่งเซนเซอร์อยู่ตรงไหน) และเมื่อใช้คล่องแล้ว มันสะดวก รวดเร็ว แถมยังปลอดภัยอีกด้วยครับ

BMW Surround View

การประมวลผลจากกล้องรอบทิศทางของระบบ Surround View ให้มุมมองเหมือนมีกล้องมาถ่ายจากนอกตัวรถ เข้าใจง่าย และช่วยเลี้ยวในที่แคบได้เป็นอย่างดี

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนขับ BMW 7 Series ก็คือฟีเจอร์กล้อง BMW Surround View รอบทิศทาง ซึ่ง BMW ได้เอาภาพจากกล้องที่อยู่รอบตัวรถ มาประมวลผลและเรียงต่อกันให้คนขับได้เห็นมุมมองรอบตัวรถทั้งหมดบนหน้าจอ ช่วยให้การเลี้ยวรถที่มีความยาว 5.2 เมตรคันนี้ รวมถึงการถอยจอดทุกที่ เป็นเรื่องง่ายอย่างมาก กล้องทุกตัวทำงานร่วมกับเซนเซอร์รอบคัน คอยบอกว่าเราเลี้ยวได้พ้นหรือไม่ และยังมีระบบ Parking Assistant ช่วยถอยจอดเทียบฟุตบาทแบบอัตโนมัติให้โดยไม่ต้องจับพวงมาลัย ไม่ต้องเหยียบเบรก ไม่ต้องเหยียบคันเร่งด้วยตัวเองอีกด้วยครับ

Air Suspension

โหมด COMFORT PLUS ที่เพิ่มเข้ามาใน BMW 7 Series โดยเฉพาะ

ช่วงล่างของ BMW 7 Series โฉมใหม่ เป็นช่วงล่างแบบถุงลม ปรับควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าครับ ทำให้การขับขี่ผ่านพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ เป็นไปได้อย่างนุ่มนวล และส่งแรงสะเทือนเข้ามาในห้องโดยสารน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยที่คนขับสามารถเลือกปรับระดับความนุ่มนวลได้จากโหมดการขับขี่ (หรือจะเลือกแบบ Adaptive ก็ได้) ซึ่งโหมดที่เพิ่มมาใน 7 Series นอกเหนือจากโหมด ECO PRO / COMFORT / SPORT ในรถยนต์ BMW ทั่วๆ ไป นั่นก็คือโหมด COMFORT PLUS ที่จะช่วยเพิ่มความสบายขึ้นไปอีก นุ่มนวล นั่งสบายอย่างมาก

นอกจากนี้ ระบบช่วงล่างถุงลม ยังสามารถปรับควบคุมความสูงของตัวรถแบบ manual ได้ด้วย ในกรณีที่เราต้องขับผ่านถนนที่มีหลุม หรือทางชันมากๆ อย่างช้าๆ เราสามารถกดปุ่มบริเวณใกล้กับคันเกียร์ เพื่อยกความสูงของตัวรถขึ้นประมาณ 20 มิลลิเมตร (ไม่น้อยเลยนะครับ) และเคลื่อนผ่านพื้นถนนที่ไม่ปกติได้ที่ความเร็วต่ำๆ และหากเร่งความเร็วสูงขึ้นไป ความสูงของตัวรถก็จะลดลงมาเหลือระดับบปกติให้เอง ส่วนในโหมด SPORT ช่วงล่างถุงลมนี้ ก็จะลดความสูงของตัวรถลงไปอีก 10 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติด้วย

Technical Specifications

นี่คือสเปกอย่างเป็นทางการ ของรุ่น BMW 740Le xDrive Pure Excellence ที่บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยนำเข้ามาจำหน่ายครับ เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 6,639,000 บาท (รวมแพ็กเกจ BSI Standard 3 ปี / 60,000 กิโลเมตร)

Driving Luxury

ถึงเวลาทดลองขับ BMW 740Le xDrive Pure Excellence กันแล้วครับ ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะแย้งว่า ควรต้องเป็นการ”ทดลองนั่ง” มากกว่าทดลองขับก็ตาม แต่ผมอยากพิสูจน์ และยืนยันกับคุณผู้อ่านทุกท่านว่า นี่คือรถที่คู่ควรกับการขับเอง และ นั่งเอง ในคันเดียวกันอย่างแท้จริง

BMW ยังคงยึดถือหลัก “The Ultimate Driving Machine” อยู่ในรถยนต์ทุกรุ่น ทุกซีรีส์ของตนเองครับ ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่และมีความยาวกว่า 5.2 เมตรในซีรีส์ 7 ด้วยเช่นกัน ผมเองยอมรับตามตรงว่า ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้โปรดปรานรถยนต์ขนาดใหญ่เท่าไรนัก แต่การที่มาอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ที่มีความหรูหรา ให้ความสบายอย่าง BMW 7 Series ก็ปฏิเสธได้ยาก และคงจะมีเพียงแค่คนจำนวนน้อยๆ เท่านั้นที่จะไม่ชอบการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถคันนี้ครับ ตำแหน่งที่นั่งปรับได้ละเอียดกว่ารถยนต์ BMW ทุกรุ่นที่ผมได้เคยขับมา และยิ่งปรับได้ละเอียดเท่าไหร่ ก็แปลว่าเราจะยิ่งปรับมันได้เข้ากับสรีระได้อย่างสมบูรณ์ ขับได้สบาย ขับได้ไกล ขับได้นาน โดยที่ไม่เมื่อยนั่นเอง

รอยต่อของพื้นถนน แทบจะไม่รู้สึกเลย

ผมทำความคุ้นเคยกับขนาดของตัวรถอยู่สักพัก และเริ่มขับในโหมด COMFORT ซึ่งเป็นโหมดมาตรฐานของตัวรถก่อน ในเส้นทางที่ผมขับอยู่เป็นประจำ สิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนคือ รอยต่อของพื้นถนน หลุมเล็กๆ หรือความไม่เรียบของแต่ละเลนในถนนเส้นที่เราคุ้นเคยนั้น มันส่งแรงสะเทือนเข้ามาในห้องโดยสารน้อยลงอย่างมาก น้อยมากจริงๆ จนแทบจะไม่รู้สึกเลย และสิ่งที่มาพร้อมกันกับแรงสะเทือนที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็คือเสียงรบกวนจากภายนอก ที่ BMW เก็บเสียงได้ดีขึ้นมาก ให้ความเป็นส่วนตัวได้อย่างมากจริงๆ

BMW 740Le xDrive Pure Excellence เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกในตระกูลของซีรีส์ 7 ครับ ผมขับมันมาจอดชาร์จไฟที่บ้านที่มีตู้ชาร์จไฟติดตั้งเอาไว้อยู่แล้ว และพบว่า ขนาดแบตเตอรีของ BMW 740Le คันนี้ มีขนาดใหญ่โตกว่าที่อยู่ใน BMW 330e และ BMW X5 xDrive40e อยู่พอสมควร ต้องใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที ถึงจะได้แบตเตอรีเต็ม 100% หรือถ้าหากใช้เครื่องชาร์จไฟแบบพกพาที่ BMW ติดมาให้ท้ายรถ ก็อาจต้องชาร์จกันนานเกือบ 4 ชั่วโมงครับ เมื่อได้ไฟเต็มแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปทดสอบอย่างจริงจังกันต่อเลย

หน้าปัดแบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว ที่ปรับเปลี่ยนการแสดงผลตามโหมดการขับขี่ที่ใช้ ณ เวลานั้น

การแสดงผลบนหน้าปัดดิจิทัลของ BMW 740Le ทำได้ละเอียด และเข้าใจได้ง่ายมากครับ มีเข็มดิจิทัลเล็กๆ ด้านขวาสุดบอกระดับแบตเตอรีคงเหลือให้เราได้เห็นอยู่ตลอดเวลา (ต่างจาก BMW iPerformance รุ่นอื่นๆ ที่ต้องกดปุ่มเมนูสลับขึ้นมาโชว์ระดับแบตเตอรี) พละกำลังของเครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร บวกกับพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังรวมกันสูงถึง 326 แรงม้า กดคันเร่งแล้วสามารถรับรู้ได้ถึงความแรงที่พุ่งไปด้านหน้า โดยลืมไปว่านี่คือรถยนต์ที่มีน้ำหนักมากถึง 2,155 กิโลกรัม และแทบจะไม่รู้สึกถึงเสียงของเครื่องยนต์ ที่ถูกโครงสร้างของห้องโดยสารกักเก็บไม่ให้เสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามาให้ได้ยินเท่าไรนัก

ส่วนที่ผมชื่นชอบมากๆ ในการขับ BMW 740Le คันนี้ ก็คือมันอำนวยความสะดวกให้คนขับอย่างครบครันจริงๆ ทั้งในแง่ของความสบายของคนขับ (เก้าอี้ปรับได้ละเอียด นั่งสบาย ปรับนวดได้ จดจำตำแหน่งที่ปรับไว้ได้) ความสะดวกในการปรับเลือกระบบความบันเทิง (พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, การสั่งงานด้วยเสียง, การสั่งงานด้วยท่าทาง Gesture Control, การแยกการปรับแต่งให้ผู้โดยสารสามารถปรับด้วยตัวเองได้, มีรีโมท iDrive สำหรับคนนั่งหลัง ให้เลือกได้เอง ไม่ต้องผ่านคนขับ) ฟีเจอร์ช่วยให้ขับง่ายขึ้น แม้เป็นรถใหญ่ (กล้องรอบทิศทาง, เซ็นเซอร์รอบคัน, ระบบช่วยจอด, ไฟหน้าปรับเลี้ยวตามองศาพวงมาลัย, ไฟสูงแบบอัตโนมัติ, ช่วงล่างถุงลมปรับความสูงได้, เบรกมือและ Auto Hold ไฟฟ้า) ซึ่งฟีเจอร์มากมายที่ให้มาทั้งหมดนี้ พอได้ขับและได้ใช้จริงๆ ก็พบว่ามันมีประโยชน์มากทุกอัน และเป็นรถที่น่าขับมากคันหนึ่งครับ ขับสบายกว่าที่คิดเอาไว้มาก และให้ความรู้สึกที่ไฮเทคมาก

แล้วมันขับสนุกด้วยมั้ย?

คำถามคือ … แล้วมันขับสนุกด้วยมั้ย? … เป็นถึง BMW สักคัน ทุกคนล้วนคาดหวังให้มันขับสนุกครับ ผมกดโหมด SPORT เพื่อเข้าสู่โหมด “ขับสนุก” ของ BMW 740Le xDrive คันนี้ ทันทีที่กด ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นพร้อมกันหลายอย่างครับ — ระบบช่วงล่างแบบถุงลมปรับลดระดับความสูงของรถยนต์ให้เตี้ยลง 10 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ, เบาะที่นั่งคนขับ บริเวณปีกถูกบีบเข้ามารับกับสรีระให้กระชับมากขึ้น, น้ำหนักพวงมาลัยหนักขึ้น, หน้าปัดดิจิทัล เปลี่ยนเป็นสีแดง และแสดงตัวเลขความเร็ว พร้อมตำแหน่งเกียร์ที่ใช้อย่างชัดเจน, เครื่องยนต์เปลี่ยนมาใช้รอบสูงขึ้น, ช่วงล่างปรับมาในโหมดสปอร์ต เตรียมพร้อมให้ผม “ซิ่ง” กับรถยนต์ BMW 7 Series คันนี้ได้อย่างเต็มที่

ปีกของเบาะที่นั่งคนขับ จะบีบเข้ามาโอบรับกับสรีระให้กระชับมากขึ้นในโหมด SPORT

ผมกระแทกคันเร่งของ BMW 740Le xDrive คันนี้ลงไปจนสุด ตัวรถน้ำหนักกว่าสองตันพุ่งทะยานไปด้านหน้าแบบมีมาด ไม่กระโชกโฮกฮากถึงขั้นกระแทกให้หลังติดเบาะ แต่รับรู้ได้ถึงความแรง พวงมาลัยเฟิร์มมาก ให้ความมั่นใจในการใช้ความเร็วได้มาก ตัวเลขบนหน้าปัดดิจิทัลพุ่งขึ้นทะลุ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างรวดเร็ว จนแทบไม่ทันได้รู้สึกว่า กำลังใช้ความเร็วในระดับที่สูงขนาดนั้น ห้องโดยสารนิ่ง เงียบ เป็นความแรงที่มีคลาสมาก

การขับขี่เกือบทั้งหมด ผมเลือกใช้โหมด AUTO eDRIVE ให้รถปรับเลือกแหล่งพลังงานที่เหมาะสมในสถานการณ์นั้นๆ โดยอัตโนมัติครับ ในขณะที่รถยังมีปริมาณไฟอยู่ในแบตเตอรีอยู่พอสมควร รถก็จะเลือกใช้กำลังไฟจากแบตเตอรีเป็นส่วนมาก ในขณะที่จะปรับมาใช้กำลังจากเครื่องยนต์ทันทีที่เราต้องการมัน เช่นตอนกระแทกคันเร่งเพื่อแซง หรือ เมื่อต้องการออกตัวจากหยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดเป็นไปด้วยความเรียบเนียน ไม่ต้องกังวลเลยว่าขณะนี้รถกำลังใช้พลังงานจากแหล่งไหน ขอแค่ชาร์จไฟให้มันเมื่อมีโอกาส และเติมน้ำมันเมื่อหมดถัง ก็พอแล้ว

สรุปการขับขี่ได้ว่า เป็นรถที่ขับได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรเลย ขับสบายในทุกสถานการณ์ ซิ่งได้ แรงอย่างมีคลาส แม้ตัวรถจะมีฟังก์ชั่นจะเยอะ แต่ก็ไม่ต้องปรับอะไรให้วุ่นวายทั้งนั้น มีหน้าที่แค่ ขับ ชาร์จไฟ เติมน้ำมัน พอแล้วครับ

Riding Luxury

นี่น่าจะเป็นรถคันแรก ที่ผมต้องมีส่วนของการ “ทดลองนั่ง” ออกมาครับ ผมลองมาเป็นผู้โดยสารของ BMW 740Le xDrive Pure Excellence บ้าง ที่นั่งเบาะหลังจะสามารถปรับได้ละเอียดกว่าเบาะหน้าพอสมควร โดยเฉพาะพื้นที่ legroom ที่กว้างกว่ามาก (แต่อาจจะปรับเอนหลังได้ไม่เท่าเบาะหน้า) แต่ที่สบายกว่าอย่างชัดเจน ก็คือเรื่องของหมอนรองศีรษะครับ ที่เป็นหมอนนุ่มๆ มารองอยู่บริเวณท้ายทอยของเราได้แบบพอดิบพอดี ดีไซน์รับกับเบาะอย่างสวยงาม บริเวณที่พักแขนตรงกลาง เป็นตำแหน่งของแท็บเล็ตสำหรับควบคุมส่วนต่างๆ ของอุปกรณ์ในรถ ที่ต้องใช้เวลาสักพักเลยนะครับ กว่าจะเข้าใจทั้งหมดว่ามันสามารถปรับแต่งอะไรได้บ้าง (ปรับได้เยอะจริงๆ)

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ห้องโดยสารของ BMW 740Le คันนี้ ดูสมบูรณ์แบบมาก และหรูหรามาก ก็คือส่วนของไฟ Ambient Lighting หรือไฟเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสารครับ ในเมนูของหน้าจอ iDrive สามารถเลือกปรับได้หลายสี ตามสไตล์ความชอบของแต่ละคนครับ บวกกับหลังคากระจก Sky Lounge ที่บริเวณขอบของหลังคากระจกจะมีแถบไฟที่ปรับสีตามที่เราเลือกได้เช่นกัน ซึ่งหากดูตามเมนูที่ BMW ให้มา ก็จะมีสีให้เลือกหลายคู่สีเหมือนกันครับ พอกดเลือกแล้ว บรรยากาศในห้องโดยสารก็จะเปลี่ยนเป็นโทนตามที่เราต้องการเลย และจะเห็นชัดเจนอย่างมากในเวลากลางคืน

ผู้โดยสารแถวหลัง จะมีหน้าจอส่วนตัวของแต่ละคนด้วยนะครับ (แยกกันซ้าย/ขวา) ควบคุมได้ผ่านทางแท็บเล็ต และที่ผมชอบคือ ผู้โดยสารด้านหลังทั้งสองคน สามารถเลือกรับชม หรือ ฟัง ความบันเทิงคนละแบบกันได้ โดยมีช่องเสียบหูฟังแยกสำหรับผู้โดยสารซ้ายกับขวาออกจากกัน

นอกจากจะแยกปรับแอร์ซ้าย/ขวาได้แล้ว ยังมีช่องเสียบหูฟังแยกสำหรับผู้โดยสารซ้าย/ขวาด้วย

ผมลองใช้ BMW 740Le xDrive Pure Excellence คันนี้อยู่หลายวัน การเดินทางในชีวิตประจำวันดูจะสะดวกสบายขึ้นมากครับ และมักจะได้แย่งที่นั่งด้านหลังกันอยู่บ่อยๆ เมื่อต้องเดินทางกันหลายคน เพราะให้ความสบายมากจริงๆ ด้านหลังมีม่านไฟฟ้าทุกด้าน บังแดดในเวลากลางวันและให้ความเป็นส่วนตัวได้ดี กว้างขวาง พักผ่อนในรถได้ เปลี่ยนจากการเดินทางที่น่าเบื่อบนท้องถนนที่รถติดสาหัสใน กทม. (ที่เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว) ให้เป็นความสบาย นั่งพักผ่อน หรือนั่งทำงานในรถได้ หรือเผลอแป๊บเดียว ก็งีบหลับบนที่นั่ง Executive Lounge ตัวนี้ได้ไม่ยากครับ เรียกว่า น่าจะเป็น must-have item ของผู้บริหารในยุคนี้เลย

ข้อเสียของการนั่งหลังของรถคันนี้ คือเมื่อคนขับอยากจะขับซิ่งที่มีการใช้ความเร็วขึ้นหรือหักเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วขึ้นมาบ้าง ช่วงล่างแบบถุงลมที่พยายามจะทำให้รถคันนี้นุ่มสบาย ซับแรงกระแทกจากท้องถนน จะให้ความรู้สึกที่ส่งผ่านขึ้นมาเหมือนเรือขนาดใหญ่ที่กำลังวิ่งผ่านกระแสคลื่นลมแรง คนที่ปกติแล้วไม่ได้เมารถแบบผม ก็เริ่มจะรู้สึกเวียนหัวอยู่เหมือนกัน ดังนั้นคงต้องสงวนการซิ่งไว้เมื่อตอนที่ไม่มีผู้โดยสารแถวหลังเสียมากกว่า ไม่งั้นพากันมึนไปทั้งคันแน่ครับ


ความคิดเห็นเสริมจากทีมงาน BIMMER-TH

ความเห็นเสริมจาก Thanapol Ratanaboon

นี่ใครมาทำถนนใน กทม. ให้มันเรียบสนิทเสียในชั่วข้ามคืนกันหรอกหรือ ช่วงล่างของซีรีส์ 7 ในโหมด COMFORT PLUS ดูดซับแรงสะเทือนไว้ได้เกือบทั้งหมดจนหลุมที่ดูใหญ่โตและสร้างความลำบากต่อกระดูกสันหลัง กลายเป็นเพียงลอนคลื่นบนนวมผ้าห่มที่คลี่ออกไม่เท่ากันเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ซีรีส์ 7 ก็เป็นรถที่ขับได้คล่องและคุมได้ง่ายจนการได้ขับแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องที่ต้องนั่งไตร่ตรองกันหลายตลบว่าจะเอารถคันนี้ออกดีไหม แถมออพชันความสบายสารพัดที่ใส่มาจนแทบจะล้นคันก็ยิ่งทำให้ประสบการณ์ในรถคันนี้มันสุนทรีย์ชนิดหาจากรถอื่นได้ยาก รถผู้บริหารระดับสูงที่เคยน่าเบื่อและไม่มีใครอยากแตะต้องเมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าเป็น BMW 740Le xDrive Pure Excellence แล้ว มันน่าจะเป็นตัวเลือกแรกของทุกคนเสมอในทุกเหตุการณ์ของชีวิตคุณ

ความเห็นเสริมจาก Pan Paitoonpong

740Le เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะช่วยพาเราเข้าสู่ยุคแห่งรถถ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีแต่เปลือกนอกเท่านั้นที่ยังดูเป็นรถแบบปัจจุบัน แต่ขุมพลังขับเคลื่อนและของเล่นไฮเทคต่างๆที่มันมีเป็นสิ่งที่อาจทำให้ลุงยุค baby boomer ผวาได้ คนที่น่าอิจฉาในรถคันนี้จะมีแค่สองคน คือคนขับ กับคนนั่งหลัง ในฐานะคนขับ ผมบอกได้เลยว่ามันเป็นรถใหญ่ที่ขับสนุก เรี่ยวแรงมหาศาลเหมือนขับรถเครื่อง 8 สูบ เกียร์ตอบสนองไว พวงมาลัยคม ผมรู้สึกว่ามันคล่องแทบไม่ต่างกับ 530i ถ้าไม่ไปโฟกัสที่ความยาวตัวรถ แต่คงต้องขอไม่ยุ่งกับช่วงล่างโหมด COMFORT และ COMFORT PLUS เพราะแม้มันจะนุ่มแต่ก็ชวนเวียนหัวพิลึก ต้อง SPORT ถึงจะได้ฟีลอย่างที่ BMW ควรเป็น และในโหมดนี้แม้จะนั่งเบาะหลัง เมื่อกางมันออกในตำแหน่งเก้าอี้นอนเหมือนสายการบินชั้นธุรกิจ มันเป็นที่สุดของความสบาย หนึบอย่างมั่นคง ลงตัวจนขนาดคนแอนตี้รถไฮบริดอย่างผมยังแอบนอกใจ 730Ld

ความเห็นเสริมจาก Thitipat Hiranbavorntip

เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังลัดเลาะขับรถอยู่ในซอยสุขุมวิท เป็นช่วงโมงที่รถติดเอาการจนเป็นเรื่องปกติของละแวกนี้ แต่เป็นวันที่รถติดแต่ผมกลับกำลังมีความสุข อาจเป็นเพราะการได้จ้องมอง 7 Series รุ่นใหม่ตรงหน้านานๆ จนชวนทำให้ผมรู้สีกเหมือนกำลังดูงานศิลปะชั้นดีกำลังเคลื่อนที่อยู่บนท้องถนน ยิ่งพอได้เข้าไปนั่งและเดินทางใน 740Le ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นรถที่ถูกดีไซน์มาเพื่อความสุนทรีย์ในทุกๆ จุดเสียจริง (เว้นตำแหน่งข้างคนขับ) มันไม่ใช่รถที่ชวนให้คุณอยากออกไปร่วมรบแข่งขันกับรถคันอื่น แต่เป็นรถที่ชวนให้คุณค่อยๆ ละเมียดละไมกับการเดินทางและได้ผ่อนคลายจากชีวิตที่เคร่งเครียดในทุกวันมากกว่า แม้จะเป็นรถที่ถูกสร้างมาเพื่อให้นั่งหลังเป็นหลัก แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณได้อยู่หลังพวงมาลัยรถคันนี้แล้วมีเหตุต้องไปออกรบจริงๆ BMW 740Le คันนี้ก็สามารถกลายร่างออกมาร่วมรบกับรถคันอื่นๆ ได้อย่างคล่องแคล่วมั่นใจเช่นกัน


สรุป

BMW 740Le xDrive Pure Excellence เป็นรถซีดานสุดหรู ที่ผมต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้บริหารนั่งเพียงอย่างเดียว แต่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้บริหารขับได้แบบสบายๆ อีกด้วย ความสนุกของการขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูง ที่มีเทคโนโลยีล้ำยุค กับอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวอย่างครบครัน และให้ความสบายในการขับขี่อย่างอย่างเต็มที่ เป็นหนึ่งในศิลปะชั้นสูงของการออกแบบ BMW 740Le คันนี้ครับ

ในเรื่องของความสบายในการนั่งโดยสาร นี่คือรถยนต์ BMW ที่นั่งโดยสารได้สบายที่สุดในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัยครับ การออกแบบที่นั่งสไตล์ Executive Lounge ใน BMW 7 Series เจเนอเรชั่นนี้ ทำได้สมบูรณ์แบบมาก ร่วมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และช่วงล่าง Air Suspension ที่ออกแบบมาใหม่ทั้งหมด มันคือรถที่เราจะคิดถึงมัน อยากนั่งมันอยู่ตลอดเวลาที่เราต้องโดยสารไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในวันที่ต้องเดินทางนานๆ, วันที่สภาพการจราจรย่ำแย่ และวันที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันครับ

ผมเชียร์ให้ผู้บริหารมาขับรถยนต์คันนี้

ผมเชื่อว่าลูกค้า BMW 7 Series จำนวนมากในไทย ล้วนมีพนักงานขับรถเป็นของตนเอง แต่หากได้ครอบครอง BMW 740Le คันนี้แล้ว บทบาทของพนักงานขับรถอาจจะลดน้อยลงในบางวันที่เราอยากจะควบยนตรกรรมขนาดใหญ่คันนี้ และไปสนุกกับเทคโนโลยีที่ BMW รังสรรค์มาให้ มันให้อารมณ์ได้ครบ ทั้งแรงบิดมหาศาล จากมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ที่ผสมผสานออกมาได้อย่างลงตัว แรงแบบมีคลาส แถมยังเสริมภาพลักษณ์การเลือกรถยนต์ระดับผู้บริหาร ที่ส่งเสริมเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ใช้พลังงานไฟฟ้าช่วยในการขับขี่ในแต่ละวัน ลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม “รถปลั๊กอินไฮบริด ไม่ได้เหมาะกับทุกคน” ครับ ผมแนะนำว่า อย่างน้อยๆ ที่จอดรถ BMW 740Le ที่บ้าน ควรจะต้องมีปลั๊กให้เสียบชาร์จไฟให้กับรถคันนี้ได้อยู่เสมอ จะเป็นปลั๊กที่โรงจอดรถที่มีอยู่แล้ว หรือ จะให้ช่างไฟเดินสายมาให้พร้อมก็ได้ หรือถ้าจะดีกว่านั้น ให้ติดตั้งตู้ชาร์จไฟแรงดันสูงให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยก็จะยิ่งสะดวก ชาร์จไฟได้เร็วขึ้น แต่หากใครไม่สะดวกที่จะชาร์จไฟให้กับรถยนต์คันนี้ในชีวิตประจำวันเลย ผมคงไม่อยากแนะนำ BMW 740Le คันนี้ให้ใช้ เพราะมันจะต้องแบกรับน้ำหนักของแบตเตอรี่แรงดันสูงหลักร้อยกิโลกรัมไปด้วยตลอดเวลา แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่นั่นเอง

BMW 7 Series ปัจจุบันนั้นมีหลายรุ่นย่อย แต่หากมองถึงอนาคตแล้ว นี่คือรุ่นที่เหมาะกับผู้บริหารยุคใหม่อย่างแท้จริง และใช้งานได้ทุกสถานการณ์อย่างแท้จริง

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

เอื้อเฟื้อสถานที่โดย:
บ้านเดี่ยว นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย 1

ภาพประกอบบทความโดย:
Puppieszz Photo

ขอขอบคุณ:
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

บทความโดย:
อู๋ spin9

Comments

comments