หากเราจะนึกถึง SUV สักคันในตลาดรถยนต์
ผมเชื่อว่าภาพแรกที่ผมและคุณผู้อ่านทั่วไปนึกถึง คงหนีไม่พ้นรถครอบครัวคันใหญ่ ทรงสูงกว่ารถซีดานทั่วๆไปพอลุยได้ในทางที่รถเก๋งไม่กล้าเข้า แต่ยังคงความนุ่มนวลขับสบาย สามารถตอบโจทย์ในการเดินทางทุกๆวันทั้งนอกเมืองและในเมือง อีกทั้งยังขนสัมภาระได้มากกว่าปกติ
แต่ทั้งนี้คุณๆคงทราบอยู่แล้วว่าบางสิ่งที่ได้มาก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่เสียไป ขนาดตัวที่โตและน้ำหนักที่มาก
ย่อมทำให้รถบ้างก็ขาดความคล่องตัว อัตราเร่งอาจไม่ถึงขั้นว่องไว ส่วนคันที่เร่งได้ไว ก็อาศัยพละกำลังจากขนาด
เครื่องที่ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ต้องยอมแลกกับอัตราสิ้นเปลื้องเชื้อเพลิงที่สูงตามขนาดเครื่องยนต์ และน้ำหนักตัวของรถไป
SUV ส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นกฎเหล่านี้ อีกทั้งความสูงของรถที่ให้ข้อดีในแง่ทัศนวิสัย ก็กลับเป็นข้อเสียในเรื่องจุดศูนย์ถ่วงที่สูง ทำให้การเข้าโค้งไม่มั่นเท่ารถเก๋งตัวเตี้ย ทาง BMW ก็เข้าใจดีว่าบนโลกใบนี้ยังคงมีเหล่านักขับ
ที่ชอบรถขับสนุก กดกระแทกคันเร่งหรือเล่นกับโค้งได้พอหอมปากหอมคอ แต่มีข้อจำกัดเรื่องสภาพถนนที่ไม่
เอื้ออำนวยต่อรถเก๋งใต้ท้องเตี้ย หรือลูกค้าที่มีครอบครัวแล้วและมองว่า SUV เป็นทางเลือกที่น่าสนกว่ามินิแวน 7 ที่นั่ง
ยิ่งหากได้เรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นของแถมก็ยิ่งดี ผมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากได้รถแบบนี้ ซึ่งนั่นก็คือที่มาของรีวิวรถ “SAV” คันที่ท่านเห็นอยู่ในภาพนี่เอง ซึ่ง SAV หรือ Sports Activity Vehicles เป็นชื่อทางการตลาดที่ BMW ใช้ในการเรียกรถ SUV ตระกูล X ของพวกเขา
เส้นสายของตัวรถนั้นดูภูมิฐานสะอาดตา เมื่อมองผ่านๆอาจจะดูเรียบๆแต่หากตั้งใจมองอีกครั้งจะพบว่า
รถมีรายละเอียดที่ลงตัว ระหว่างความสุขุมนุ่มลึก แต่ยังมีรัศมีความดุแอบแฝงอยู่
รถตระกูล X ที่เราได้มาลองขับกันในครั้งนี้ ก็คือ BMW X5 xDrive40e M Performance สนนราคาค่าตัว
(ณ วันที่เขียนบทความ) อยู่ที่ 5,399,000บาท ซึ่งถือว่าเป็นรุ่น สูงสุดของตระกูลX5 ในบ้านเรา
หลังจากที่มีการถอดตัวเครื่องดีเซลหกสูบ xDrive30D ทิ้งไป คงเหลือแต่ รุ่น sDrive25D ดีเซล4สูบ
ที่ยังคงทำตลาดในตัวเริ่มต้นของตระกูล X5ในไทย

ไฟหน้ารถนั้นเป็นแบบ Adaptive LED Headlights พร้อมระบบ High Beam-Assistant ช่วยในการขับขี่ยามค่ำคืนที่ไม่มีแสงไฟถนนเพียงพอในการส่องหลุมถนนดวงจันทร์บ้านเรา โดยที่รถจะทำการปรับไฟเป็นไฟสูงเพื่อให้
ส่องถนนได้ไกล และลดเป็นไฟต่ำปกติเมื่อเซนเซอร์จับแสงของรถที่วิ่งสวนมาได้
ไฟตัดหมอกนั้นก็เป็นแบบLEDเช่นกัน
X5 xDrive40e นับว่าเป็นรถยนต์ในกลุ่มของ SAV BMW คันแรกที่มีระบบ เครื่องยนต์แบบ Plug In Hybrid
หรือที่ BMW เรียกโมเดลรถกลุ่มนี้ของพวกเขาต่างๆว่า iPerformance eDrive
ถ้าคุณๆคนไหนมีความคิดว่า ภาพของรถรักโลกพลังงานไฟฟ้า Hybrid ต้องล้อเล็ก แต่งตัวมาแบบประหยัดๆ
เห็นทีจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะX5 M Sport สเป็กบ้านเรานั้นถูกตกแต่งเพิ่มพิเศษจากตัว X5 ธรรมดาด้วยการเสริมชุดแต่ง M Sport พร้อมล้อและยางไซส์มหึมา ขนาด 20 นิ้ว

ไม่เพียงแค่ชุดแต่งที่นำมาเสริมหล่อเท่านั้น X5 xDrive40e
นั้นยังมาพร้อมกับช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension ซึ่งสามารถปรับความแข็งอ่อนช่วงล่างได้ตามความเร็ว
ของรถหรือลักษณะการทิ้งโค้ง สามารถล็อคให้ทำงานแบบ Sport ได้ตามโหมดการขับขี่

เมื่อเปิดประตูรถเข้ามานั้น จะพบกับชุดพวงมาลัยและคอนโซลถูกตกแต่งแบบ M Sport
เครื่องเสียง Harman Kardon หน้าจอ Command แบบกว้าง 10.25นิ้ว มาพร้อม iDrive Touch Controller
ที่สามารถเขียนตัวอักษรเวลาป้อนข้อมูลต่างๆเข้าระบบแทนการกดได้เพียงปลายนิ้ว
และระบบนำทาง Navigation แบบ Professional แสดงผลการจราจรแบบ Real-time เพื่อช่วยแนะนำคนขับในการเลือกเส้นทางให้คุ้มค่ากับการใช้พลังงานที่สุด

ตัวเบาะคู่หน้าเป็นเบาะหนังแท้ แบบDakota Sport ปรับไฟฟ้าสามแบบหลักๆ ขึ้น-ลงแค่ตัวเบาะ แต่ปรับมุมเงยเบาะไม่ได้ เลื่อนหน้า-หลัง และเอน ทั้งยังปรับความยาวเบาะเพื่อ Support เข่าและระบบดันหลังแบบเลือกตำแหน่งให้ตรงจุดได้ พร้อมMemory Seat 2 ตำแหน่งสำหรับคนขับ
ส่วนของเบาะหลังนั้น กว้างขวางตามขนาดตัวรถ ผู้ใหญ่ไซส์ปกติสามารถนั่งกันสามคนได้แบบสบายๆ
จุดที่น่าเสียดายคือ ตัวเบาะหลังไม่สามารถปรับเอนหรือเลื่อนขึ้นลงได้ แต่สามารถพับแยกกันแบบ 40:20:40 แทน
เครื่องปรับอากาศ สามารถแบ่งได้มากถึง 4 โซน! ด้านหน้าสองฝั่ง ด้านหลังสองฝั่ง พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง
เรื่องที่ยังสงสัยอยู่ว่าเป็นเหมือนกันทุกคันหรือไม่ ก็คือเสียงของคอมเพรสเซอร์แอร์รถเวลาทำงานเสียงค่อนข้าง
น่ารำคาญคล้ายเสียงปัตตาเลี่ยนไฟฟ้าที่ใช้ตัดผม จะได้ยินชัดเจนมากเวลาคลานช้าๆปิดเครื่องเสียง
และในขณะที่รถอยู่ในโหมด EV
หากบรรยากาศชีวิตในรถช่วงกลางวันดูจืดไปในสายตาคุณ รอให้พระอาทิตย์ตกดินเสียก่อนครับ
คุณจะพบความงดงามอลังการยิ่งขึ้นไปอีก
การตกแต่งภายในห้องโดยสารของ X5 xDrive40e นั้นได้ซ่อน LED Ambient Light ไว้ สามารถเลือกปรับเปลี่ยนโทนสีหลักๆได้ 3โทน โดยเข้าไปเลือกได้ผ่านชุดควบคุมจอ iDrive โทนต่างๆ แต่ยังไม่สามรถตั้ง Auto
เพื่อเปลี่ยนโทนเรื่อยๆได้ นับว่าเป็นลูกเล่นเก๋ๆที่เพิ่มบรรยกาศค่ำคืนของห้องโดยสารรถได้เป็นอย่างดี
ส่วนของพื้นที่เก็บของด้านหลัง หลังจากที่เราเปิดก้นเต็มๆทั้งบานฝาท้ายบนและบานฝาท้ายชิ้นล่างลงแล้ว
จะพบกับพื้นที่ขนาดใหญ่ หุ้มไปด้วยพรมสีดำนุ่มๆน่านอน ขนาดความจุ 500 ลิตร หรือ 1,720 ลิตร
เมื่อพับเบาะเพิ่ม
ถ้าคุณผู้อ่านตาไวอาจสังเกตได้ว่าทำไมเนื้อที่จุด้านหลังมันน้อยพอๆกับ X1 ก็ไม่ผิดครับ แต่อย่าลืมนะครับว่านี่คือรถ Plug-in Hybrid ที่ต้องมีการเผื่อที่ไว้สำหรับแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

เมื่อเราเปิดใต้พรมนุ่มๆของที่เก็บของฝาท้ายขึ้นมานั้น เมื่อเปิดมาระดับแรก จะพบกับที่อยู่ของตัว Adapter ชาร์จไฟ
ที่ติดมาให้สำหรับเจ้ายักษ์ X5 xDrive40e คันนี้เป็นมาตรฐาน พร้อมกับชุดอุปกรณ์คู่มือของตัวรถ
และชุด First Aid Kit ด้านข้างซ้ายบนที่เก็บของ และในส่วนพื้นที่ถัดลงไปอีกนั้น เป็นที่อยู่ของแบตเตอรี่
Lithium-ion ที่เอาไว้เก็บพลังไฟฟ้าคอยป้อนให้รถไว้ใช้ขับเคลื่อนหรือเสริมพลังสำหรับ E-Boost

BMW X5 xDrive40e Plug In Hybrid นั้นสามารถชาร์จไฟฟ้าจากอแดปเตอร์ที่ติดมากับตัวรถ สามารถเสียบไฟฟ้าบ้านชาร์จได้คล้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าปกติ หรือชาร์จไฟจาก BMW iWallbox ที่สั่งพิเศษมาติดที่บ้านหรือออฟฟิศได้เช่นเดียวกัน
มีข้อแม้อย่างเดียวคือ ห้ามต่อผ่านปลั๊กพ่วงครับ (เพราะตัวปลั๊กพ่วงอาจร้อนและไหม้ได้)สายไฟของชุดอแดปเตอร์ที่ให้มานั้นก็ยาวเพียงพอระดับหนึ่งแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น BMWได้เคลมมาว่า X5 xDrive40e นั้น สามารถวิ่งเป็นระยะทางได้ไกลสูงสุดถึง 31 กิโลเมตร และสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมด Max eDrive ซึ่งเป็นโหมดที่จะจัดสรรให้
รถใช้แต่พลังงานไฟฟ้าล้วนในการเคลื่อนที่เพียงอย่างเดียว จากที่ลองขับดูบนถนนจริง โหมด Max eDRIVE
สามารถใช้ความเร็วได้สูงถึง120 จริงตามที่เคลมครับ แต่อาจจะต้องใช้ความพยายามซักหน่อยสำหรับการเร่งจาก 110 ไป 120
ส่วนระยะทางที่สามารถใช้ได้จริง ต่อการชาร์จไฟ1ครั้งเต็ม สามารถใช้ได้ประมาณ 20-25 กิโลเมตร
แล้วแต่ความเร็วที่ใช้ หากใช้ความเร็วที่ต่ำเช่นคลานๆ20-40 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้นแม้หน้าจอจะขึ้นระยะทางที่วิ่งได้
เป็น – – – แล้วแต่ยังคงประคองๆเลี้ยงมาได้อีกประมาณ1กิโลเมตร แบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 2% และระบบไฮบริด
จะเริ่มสั่งเครื่องยนต์ให้ทำงานป้อนไฟกลับเข้าแบตเตอรี่เป็นการด่วน
(อันที่จริงถ้าเริ่มชาร์จไฟกลับตอนที่แบตเตอรี่มีประจุเหลือสัก 10% ได้ก็น่าจะดี ไม่ต้องรอให้เหลือน้อยขนาดนี้)
ดังนั้นไม่ต้องห่วงครับ กล่องอิเล็กทรอนิกส์ฉลาดพอที่จะบริหารกำลังไฟ ไม่ต้องกลัวว่าวิ่งไปแล้วรถจะดับ
ระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้าสำหรับอะแดปเตอร์ติดรถต่อไฟบ้านนั้นอยู่ที่ประมาณ 3.5-4 ชั่วโมง สามารถดูเวลาชาร์จเสร็จหรือระยะทางที่สามารถแล่นได้สำหรับการชาร์จครั้งนี้ ได้จากหน้าปัดรถยนต์
BMW รุ่นใหม่ๆที่ขายในปัจจุบันนั้น สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้หลายแบบ X5 xDrive40e ก็เช่นกัน เพราะนอกจากจะมีสวิตช์สำหรับปรับการทำงานโหมดไฮบริดแยกออกมาต่างหากแล้ว ก็ยังมีโหมดการขับขี่มาตรฐานแบบของ BMW ได้แก่ Eco Pro, Comfort, Sport และ Sport +
เมื่อเรา Start รถขึ้นใหม่ทุกครั้ง รถจะเริ่มต้นให้ที่ไว้ในโหมด Comfort ซึ่งพวงมาลัยและช่วงล่างจะถูกปรับให้ผู้ขับรู้สีกนุ่มและผ่อนคลาย พวงมาลัยรถความไวจะคงเดิมแต่น้ำหนักจะเบาลง เกียร์จะทำงานตามปกติ
แต่ในโหมด ECO PRO รถจะเน้นเพื่อให้ประหยัดพลังงานสูงสุด คันเร่งและเกียร์จะถูกทำให้ทำงานนุ่มนวลเน้นการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ความเย็นจากระบบปรับอากาศก็จะถูกลดทอนลง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเวลาขับกลางแดดจ้าช่วงกลางวัน
กลับกันกลับในโหมด Sport ช่วงล่างรถจะแข็งขึ้นเล็กน้อย พวงมาลัยความไวอัตราทดพวงมาลัยนั้นจะเท่ากันกับ ในโหมด Comfort แต่น้ำหนักความตึงมือนั้นจะมีมากขึ้นกว่าเดิม เกียร์จะมีการหน่วงเอาไว้ที่เกียร์ต่ำ รอบเครื่องจะอยู่ในย่านที่พร้อมพุ่งแต่ไม่สูงมากจนเกินไป
ในขณะที่โหมด Sport + นั้นเหมาะสำหรับสายโหดเน้นการควบคุมตัวรถเอง รถจะปิดการทำงานของระบบ DSC
เพื่อปล่อยให้คนขับควบคุมได้อย่างอิสระ เหมาะกับการลงสนามมากกว่าบู๊บนถนน ที่คาดเดายากและเสี่ยงภัยจากสิงสาราสัตว์
นอกจากนี้ หากคุณชอบช่วงล่างและพวงมาลัยในโหมด Sport แต่ไม่ชอบการที่ให้เครื่องคารอบไว้สูง ก็สามารถใช้
ฟังก์ชั่น iDrive เข้าไปปรับค่า Settings ของรถได้ว่าจะเอาเฉพาะช่วงล่างแข็ง พวงมาลัยหนืด หรือเอาช่วงล่างแข็ง พวงมาลัยหนืดและปรับนิสัยการเปลี่ยนเกียร์ไปด้วย
สวิตช์ของเล่นข้างคันเกียร์นั้นยังมีปุ่มต่างๆได้แก่ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Brake Hold ซึ่งช่วยคาเบรกไว้เวลารถติด คนขับสามารถใส่เกียร์ D ไว้โดยที่ไม่ต้องเหยียบเท้าคาแป้นค้างไว้ พอรถเคลื่อน ก็แค่กดคันเร่งเบาๆ ออกตัวไปพอรถหยุด ก็แค่เหยียบเบรกค้างไว้สักพัก ระบบ Auto Hold ก็จะทำงานให้อีกครั้งจนกว่าคุณจะกดปุ่มปิด
นอกจากนี้ก็ยังมีปุ่มHill Descent Control ช่วยคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และระบบ Parking Assistant ทำงานร่วมกับกล้องSurround view ที่สามารถมองรอบรถได้ทั้งคันผ่านจอ

ในรถตระกูล Plug-in Hybrid หรือตระกูล i ของBMW นั้นสามารถเลือกโหมดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าได้แบ่งออกเป็นสามโหมด
โหมดแรกนั้นคือโหมด AUTO eDrive ซึ่งเป็นค่าประจำมาตรฐานของรถ โดยทุกครั้งที่สตาร์ทรถ มันจะกลับเข้ามาอยู่ในโหมดนี้ สมองกลที่คุมระบบไฮบริด จะจัดสรรพลังงานเองอัตโนมัติ เมื่อคลานในเมือง หรือวิ่งแบบไม่ได้กดคันเร่งแรงมากนัก มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาทำงานจนเมื่อไฟของแบตเตอรี่รถ เหลือราว 2-8 % รถจึงจะเริ่มชาร์จไฟฟ้ากลับโดยใช้แรงจากเครื่องยนต์
MAX eDRIVE โหมดเครื่องยนต์อู้งาน ระบบจะใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะกดคันเร่งแรงแค่ไหน มอเตอร์ไฟฟ้าจะรับหน้าที่ดูแลเป็นหลัก เหมาะกับการใช้งานในเมืองที่รถติด เพราะจะสามารถวิ่งได้ไกลกว่าหากใช้ความเร็วต่ำลัดเลาะไปมาในเมืองหรือตามซอย
โหมด SAVE BATTERY ระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ทำงานอยู่ตลอด และจะพยายามชาร์จไฟให้แบตรถอยู่เรื่อยๆ แต่เจ้าของรถต้องเข้าใจด้วยว่า เมื่อเครื่องยนต์ติดและแถมยังต้องปั่นไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ ช่วงเวลานั้นรถจะกินน้ำมันมากกว่าปกติ จากการทดลองเวลาวิ่ง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเครื่องยนต์ติด แต่ไม่มีการชาร์จ
Fuel Consumption Meter จะโชว์ค่าประมาณ 10-10.5 กิโลเมตร/ลิตร แต่ถ้าเครื่องติดและชาร์จไฟกลับด้วย ตัวเลขจะลดลงเหลือ 8.9-9.5 กิโลเมตร/ลิตร
Engine and Drivetrain
สำหรับความรู้สึกที่ได้จากการขับขี่และความคล่องตัว หลังอยู่ร่วมกันมา1คืน1วันกับระยะทางกว่า300 กิโลเมตร
ทำให้ได้รู้ว่า หัวใจแม้จะเล็กแต่เป็นหัวใจที่แอบซ่อนพลังไว้และขยัน
ขุมพลังที่สถิตอยู่ใน X5 xDrive40e มีขนาด 2.0 ลิตรTwinPower Turbo จะผนวกกับอิทธิฤทธิ์ของมอเตอร์ไฟฟ้าพลังเสริมที่มาจากระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า หรือ eBOOST โดยที่เมื่อ 2 ระบบทำงานร่วมกันแล้ว มันจะสามารถสร้างแรงร่วมกันได้ถึง 313 แรงม้า! และแรงบิดสูงสุดของระบบ 450 นิวตันเมตร น่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิดไว้มาก ถ้าคุณเที่ยวไปบอกคนที่ไม่ประสีประสาเรื่องรถว่า X5 ร่างยักษ์คันนี้ใช้เครื่องความจุแค่ 2.0 ลิตร แล้วพาเขามาลองนั่ง แบบกระแทกคันเร่งจากจุดออกตัว รับรองว่าไม่มีใครเชื่อคุณแน่นอน มอเตอร์ไฟฟ้ามีข้อดีที่สร้างแรงขับได้มหาศาลตั้งแต่มันเริ่มหมุน
ดังนั้นพอเอามาใช้กับรถเครื่องเบนซินเทอร์โบมันจึงสามารถดีดตัวออกได้ทันที ปิดกลบข้อเสียของเครื่องเทอร์โบที่มีอาการรอรอบจนหายเป็นปลิดทิ้ง ปล่อยพลังเครื่องยนต์และมอเตอร์มาใช้กันได้เต็มที่ เสียงเครื่องยนต์ในตอนปลาย
ลากยาวจนถึง 7000 รอบ ก็เพราะใช่ย่อย

พูดง่ายๆว่าต่อให้เป็นรถ Plug-in Hybrid ตัวโต BMW ก็ไม่ลืมเรื่องความสนุกในการขับแน่นอน เนื่องจากจริงๆแล้ว
จุดประสงค์หลัก สำหรับการทำ Plug-in Hybrid หรือตระกูล iPerformance ของ BMW นั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความประหยัดอย่างเดียว BMW ยังมุ่งเน้นไปที่ Performance ของตัวรถเป็นหลักสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็น BMW ที่มี Passion ในด้านการขับสนุกตลอดมาของค่าย
ตัวเลขอัตราเร่งนั้น BMW ได้เคลมเวลา 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาที่ 6.8 วินาที แต่จากการจับเวลา สั้นๆ สภาพอากาศเมืองไทยและน้ำมันบ้านเรา นั่งในรถสองคนรวมกันประมาณ 100 กิโลกรัม ตัวเลขที่ได้อยู่ประมาณ 7.4 วินาทีถือว่าSAV ร่างยักษ์มาดครอบครัวคันนี้สามารถวิ่งไล่เหล่า Hot Hatch ที่ว่าเครื่องแรงขับมันส์ทั้งหลายได้สบายก็แล้วกันเวลาเดินทางต่างจังหวัดก็สบายหายห่วงเพราะวิ่งตามรถช้าอยู่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอมีจังหวะแซงสั้นๆ กดคันเร่งเต็มค้างไว้แค่ 5 วินาที คุณก็วิ่งอยู่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว บนท้องถนนเมืองไทย คงมีรถใหญ่ขนาดนี้และเร็วขนาดนี้ไม่กี่รุ่น และถ้ามี มันก็น่าจะแพงกว่า X5 คันนี้สองเท่าตัวหรือมากกว่า แล้วความแรงนี้ยังมาพร้อมกับการปล่อย CO2 แค่ 78 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัดของ BMW พอเห็นภาพไหมล่ะครับว่าเครื่องเล็กๆพอมีเทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้ามันสำแดงเดชได้ร้ายกาจขนาดไหน
มีคลิปทดสอบสั้นๆ ลองมาให้ชมกันครับ
มาถึงจุดนี้ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่ามอตอร์ไฟฟ้าช่วยแรงรถขนาดนี้
แล้วถ้าแบตลดลงเหลือ30-2% แรงของมอเตอร์ไฟฟ้าจะลดลงเหมือนค่ายรถญี่ปุ่นบางค่ายมั้ย?
คำตอบคือไม่ เพราะไม่ว่าแบตจะมากจะน้อยเพียงใด แรงที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ได้ลดตามจำนวน% จะมีแค่ หากตอนที่เราบู๊มากๆติดต่อกัน จนระบบรถชาร์จไฟกลับไปไม่ทันเพียงพอใช้ในการบู๊ซิ่ง จนแบตเตอรี่ รถลดฮวบ
เหลือ 2% พลัง eBOOST จากมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะมลายหายไป ระบบรถจะไม่ยอมให้ไฟฟ้าหมดเกลี้ยงจากแบตเตอรี่เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงานเป็นพระเอกเพียงคนเดียว และแน่นอนเมื่อพระเอกขาดมือขวา ย่อมสามารถทำงานต่างๆได้น้อยลง เมื่อไฟลดลงจะเหลือ 2% นั้น เมื่อนั้น X5 xDrive30d รุ่นก่อนหน้า ก็วิ่งทำความเร็วเฉือน X5 xDrive40e ไปได้เหมือนกัน
เกียร์อัตโนมัติแบบ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงล้อ ผ่านระบบ xDrive อันเป็นสัญลักษณ์ของระบบ ขับเคลื่อน 4ล้อ
ของ BMW สามารถเล่นโหมดเปลี่ยนเกียร์ได้จาก Paddle Shift หลังพวงมาลัย หรือตบจากคันโยกเกียร์ก็สามารถ
ใช้ โหมด +/- ได้เหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่าระบบเกียร์ในโหมดปกตินั้นฉลาดเพียงพอ และทำงานได้ว่องไวกว่าการกระดิกนิ้วเพิ่อตบเกียร์ลงของคนขับเสียอีก เห็นทีการกดมิดแล้วปล่อยรถจัดการเองจะไปได้เร็วกว่าในเส้นทางปกติ แต่มีโหมด +/- ไว้ก็เหมาะสมสำหรับเส้นทางภูเขา

ช่วงล่างและพวงมาลัย ในโหมดการขับ COMFORT ในทางที่เรียบสนิทนั้นจะนุ่มกลางๆให้ความมั่นใจได้โอเค
สิ่งที่จะทำให้เสียความมั่นใจเวลาขับเร็วนั้นเห็นจะเป็นพวงมาลัยที่น้ำหนักเบาแต่อัตราทดไม่ได้แปรผันทำให้น้ำหนัก
จะเบาไปซักนิดสำหรับพวงมาลัยที่ไวเช่นนี้ และช่วงล่างหลังเมื่อเจอทางที่ไม่เรียบดีนัก จะมีอาการโคลงและยวบยุบ จากถุงลมมากเกินไปหน่อยในระยะยุบแรกๆ แอบทำให้น่าเวียนหัวหากใช้บนที่ถนนที่มีลูกคลื่นเยอะ
แต่เมื่อใช้โหมด Sport ทุกสิ่งดูเหมือนจะดีขึ้น พวงมาลัยที่ไวไปนิดสำหรับน้ำหนักก่อนหน้านั้น จะมีน้ำหนักหน่วงมือเพิ่มขึ้น ในระยะหักแรกๆจะเหมาะกับความไวมากขึ้นกว่าในตอนแรก ช่วงล่างเฟิร์มขึ้นกว่าเดิม อาการโคลงตัวของตัวรถในโหมด COMFORT นั้นจะหายไป ช่วงล่างจะแข็งขึ้นเล็กน้อยมากๆ แต่ผลลัพธ์ เวลาบู๊หรือเล่นโค้งต่างๆนั้นจะมั่นใจกว่าเยอะจริงๆเพราะตัวรถด้านหลังเอียงน้อยกว่า

แป้นเบรกควบคุมกะระยะได้ง่าย มีน้ำหนักที่ดีทั้งในความเร็วต่ำและสูงแม้จะเป็นแป้นเบรกไฟฟ้าก็ตาม การหน่วงความเร็วจาก 190-120 นั้นทำได้ตามเท้าสั่ง ขับที่ย่านความเร็วต่ำก็เบรกได้นุ่มนวลไม่หัวทิ่มจนน่ารำคาญ
อัตราสิ้นเปลื้องเชื้อเพลิงเหมือนจะประหยัดแต่ก็ไม่ได้ประหยัดอย่างที่คาดหวังไว้ หลังจากที่ ทีมงาน Bimmer-th
เราได้ร่วมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับ BMW X5 xDrive40e คันนี้มาร่วม 3 วัน ตัวผมได้ขับออกจากกรุงเทพไปถึง
อำเภอศรีราชา ชลบุรี ระยะทางทั้งทริปรวม 368 กิโลเมตร ขับแบบตามใจเท้า ใช้ความเร็วในหลายๆย่านความเร็ว
และคลานๆ ชมสวนสัตว์เปิดในระแวกนั้นอยู่ 3 ชั่วโมง จนกลับกรุงเทพนั้น
ผลจากคอมที่ได้
12.3 l/100km หรือ 8.13 กิโลเมตรต่อลิตร
และถังที่สองนั้นได้ทดลองผ่านย่านรถติด ทั้งวิ่งออกเมืองไปแถบบางแสน แล้วกลับกรุงเทพ
รวมระยะทาง 297.6 กิโลเมตร หารเติมน้ำมันกลับมา 35.86 ลิตร = 8.29 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งสองถังนั้น ต้องทำ *ไว้ว่าขับกันแบบฉบับตามเท้า มีลองอัตราเร่งและใช้ความเร็วในหลายๆย่านไม่ได้ขับคงความเร็วเดิมเรื่อยๆแต่อย่างใด
บทส่งท้าย
แม้จะกินจุกว่าที่คาด แต่ก็ขับสนุกกว่าที่คิด!! BMW X5 xDrive40e นั้นแม้จะมีขนาดตัวถังที่ใหญ่ แต่เมื่อคุ้นชินรถ จะพบได้ว่าตัวรถนั้นคล่องตัวมากๆ และขับสนุกแบบลืมขนาดตัวเอง การออกแบบตัวรถที่ไม่ได้เหมือนหลุดมาจากโลกอนาคตแบบล้ำโลกไปไกลนัก แต่เป็นการออกแบบที่มีเสน่ห์มีพลัง+ความอลังการที่ไม่ได้ตั้งใจมาอวดใครแฝงอยู่
ถ้าคุณกำลังหา SUV ซักคัน ที่มี ระหว่างความสบาย ความหรูพอประมาณค่อนไปทางสปอร์ต BMW X5 xDrive40e คันนี้คือส่วนผสมทีลงตัวทีเดียว ในขณะที่ราคา รถ ณ วันที่เขียนบทความนี้อยู่ที่ 5,399,000 บาท แม้จะต้องเพิ่มเงินเยอะจากตัวรุ่นดีเซล sDrive25d ปกติ แต่ถ้าหากมองว่าคือการซื้อเทคโนโลยีรถของรถยนต์ในโลกยุคใหม่ที่ได้ทั้งพลังแรงมหาศาล เสียงการทำงานของเครื่องเบนซินที่เงียบกว่าดีเซล และได้ความประหยัดเวลาขับในเมืองเป็นระยะทางไม่เกิน 30 กิโลเมตรผลลัพธ์เมื่อมองกลับมาก็มีความคุ้มค่าในแง่ความรู้สึกและการใช้งานจริง
และอย่าลืมว่าราคาของรถที่เพิ่มมาจากรุ่น sDrive นั้น ความแตกต่างไม่ได้มีแค่ขุมพลัง แต่ยังรวมถึงของเล่นปลีกย่อยอีกหลายอย่าง
ถึงแม้เราจะรักกลิ่น น้ำมัน และเสียงเครื่องยนต์ 6 สูบมากแค่ไหน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ ว่าในอนาคตอันใกล้นั้น กำลังจะเป็นยุคของรถไฟฟ้า ที่นับวันเครื่องยนต์ความจุขนาดใหญ่จะฟังดูเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ขึ้นทุกวัน และนั้นเองจะเป็นวันที่ SUV ที่ตัวใหญ่ จะขับสนุก โดยไม่ต้องแวะปั๊มน้ำมันบ่อยอย่างที่เคยในอดีต
ขอขอบคุณ
BMW Thailand
บทความโดย
ธิติพัทธ์ หิรัญบวรทิพย์
สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาถ้อยคำรูปภาพในบทความโดยผู้เขียนและเว็บไซต์ bimmer-th.com
กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปใช้

Thitipat Hiranbavorntip

Latest posts by Thitipat Hiranbavorntip (see all)
- Review BMW 320Li Gran Sedan หรู ยาว ซนได้! - April 24, 2022
- BMW เดินหน้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มประจุ! - December 1, 2021
- BMW x Coldplay ทัวร์คอนเสิร์ตรักษ์โลกจากพลังแบตฯ ใช้แล้วของ BMW i3 - November 15, 2021