กางแผนยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในอีก 5 ปี ของ BMW Group

BMW Group เปิดแผนพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้จุดมุ่งหมายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ด้วยแนวคิด “พลังแห่งทางเลือก” หรือ “Power of Choice” ยนตรกรรมทุกรุ่นของ BMW Group จึงมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันของผู้ขับขี่ ประกอบไปด้วย

  • เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engines หรือ ICE) ทั้งในแบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล
  • ระบบไฮบริดเสริม 48 โวลต์ (Mild Hybrid Vehicles หรือ MHEV) ที่นำมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้เพื่อเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมป้อนพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในตัวรถ
  • ระบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicles หรือ PHEV)
  • ระบบไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles หรือ BEV)
  • ระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cell Electric Vehicles หรือ FCEV) ซึ่งเป็นอีกระบบที่กำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการผลิตตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

ปัจจุบัน BMW X3 เป็นรุ่นรถยนต์แรกของ BMW Group ที่มีทางเลือกของระบบขับเคลื่อนครบถ้วน ตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทั้งแบบเบนซินและดีเซล ไปจนถึงระบบ PHEV และ BEV ไฟฟ้า 100% และ ในปีหน้า (2021) ก็จะตามมาด้วยการเปิดตัวของ BMW iNEXT ในฐานะรถยนต์รุ่นเรือธงด้านเทคโนโลยี ที่จะใช้ eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 เข้ากับระบบขับขี่อัตโนมัติระดับสูงที่ล้ำสมัย ในรูปโฉมของรถ Sports Activity Vehicle ระดับหรู พร้อมด้วย BMW i4 รถยนต์ Gran Coupe สี่ประตูที่จะนำระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าผสมผสานกับเอกลักษณ์ความเป็น BMW อย่างสมบูรณ์แบบ

อนาคตด้านยานยนต์ไฟฟ้าของ BMW Group

BMW Group คาดการณ์ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 30% โดยในระดับโลก คาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าของ BMW Group โลดแล่นอยู่บนท้องถนนถึง 1 ล้านคันภายในปี 2021 และพุ่งสูงขึ้นเป็น 7 ล้านคันภายในปี 2030 โดยสำหรับในตลาดยุโรป คาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ BEV จะนับเป็น 2 ใน 3 จากยอดรวมในปี 2030 นี้ ขณะเดียวกัน BMW Group ยังคาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า จะมีส่วนแบ่งถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายรวมทั้งหมดในตลาดยุโรปภายในปี 2030 อีกด้วย

ทั้งนี้ BMW Group จะมียานยนต์ไฟฟ้านำเสนอออกสู่ตลาดมากถึง 25 รุ่นในตลาดโลก ภายในปี 2023 โดยมากกว่าครึ่งของจำนวนนี้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ BEV

การพัฒนาแบตเตอรี่ การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการรีไซเคิล ที่ยั่งยืน

Speicherfarm auf dem Gelände des BMW Werkes in Leipzig kurz vor der Einweihung am 26. Oktober 2017.

ปัจจุบัน BMW Group ดูแลและควบคุมทุกขั้นตอนของการพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ นับตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยไปจนถึงการผลิต โดยมีโรงงานกว่า 11 แห่งภายใต้เครือข่ายของ BMW Group รวมไปถึงโรงงานที่จังหวัดระยองในประเทศไทย ที่มีศักยภาพในการผลิตและประกอบแบตเตอรี่ นอกจากนี้ BMW Group ยังมุ่งมั่นที่จะสรรสร้างนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าล้ำสมัยที่ผ่านการพิสูจน์สมรรถนะมาแล้วตั้งแต่ในห้องแล็บและสนามแข่ง Formula E กับทีม BMW i Motorsport ก่อนจะมาถึงมือของลูกค้าในรถยนต์รุ่นที่ผลิตเพื่อทำตลาด ทั้งนี้ BMW Group คาดการณ์ว่าการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่จะส่งผลให้สามารถผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงขึ้นเป็น 2 เท่าในขนาดเท่าเดิมได้ ภายในปี 2030

BMW Group ยังควบคุมทั้งห่วงโซ่อุปทานของเซลล์แบตเตอรี่ในแง่ของมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยสมบูรณ์ ด้วยข้อตกลงในการจัดหาแร่ Cobalt และ Lithium ในรูปแบบที่ยั่งยืน ควบคู่ไปกับคำมั่นสัญญาที่จะลดและยุติการใช้แร่ธาตุหายาก หรือแร่ rare earth ในห่วงโซ่อุปทาน โดยปัจจุบัน ทุกเซลล์แบตเตอรี่ของรถยนต์ BMW ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ถูกผลิตด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งที่ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความมุ่งมั่นในด้านการผลิตและประกอบรถยนตภายใต้หลักการของความยั่งยืนนี้ จะถูกสะท้อนให้เห็นในรถ BMW iX3 ใหม่

ในด้านทางเลือกเทคโนโลยีแบตเตอรี่ BMW Group ยังเห็นศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่แบบ Li-ion โดยเห็นได้ชัดจากความก้าวหน้าในการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ในรถยนต์ BMW i3 เป็น 2 เท่าในตัวแบตเตอรี่ขนาดเดิม ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น

เมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง แบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพลงจนถึงจุดที่ไม่อาจใช้งานต่อได้ ไม่ว่าเพื่อการขับเคลื่อนรถยนต์หรือการใช้งานรูปแบบอื่น ๆ BMW Group จึงตั้งเป้าที่จะรีไซเคิลวัตถุดิบอันมีค่าภายในแบตเตอรี่เหล่านี้ให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราได้ร่วมมือกับบริษัท Duesenfeld GmbH เพื่อพัฒนากระบวนการในการรีไซเคิล Electrolyte และ Graphite ในแบตเตอรี่ที่สามารถคืนสภาพวัตถุดิบได้กว่า 90% โดยไม่ทิ้งกากสารพิษไฮโดรเจนฟลูออไรด์ที่เป็นอันตราย ทั้งยังปล่อยมลภาวะออกมาน้อยกว่าวิธีอื่นถึง 40% อีกด้วย

Comments

comments