EXPERIENCE THE 7 “THE INDIVIDUAL” ความหมายของการใช้ชีวิต โดย ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และ พิสิฐ จงนรังสิน

EXPERIENCE THE 7 คือแคมเปญที่สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในสายเลือดของ BMW โดย BMW Thailand ได้ค้นหาบุคคลต้นแบบ ที่จะนำมุมมองในการใช้ชีวิตของพวกเขามาตีแผ่เป็นแม่บทแห่งแรงบันดาลใจให้แก่บุคคลทั่วไป โดยมุ่งหวังว่าเรื่องราวของบุคคลต้นแบบจะสามารถชี้นำแนวทางในการใช้ชีวิต และก่อให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป

อุดมการณ์ในการสร้างรถของ BMW คือการมอบที่สุดแห่งความทรงจำในการขับขี่ที่เหนือกว่าใคร แต่การสร้างสิ่งนวัตกรรมที่เยี่ยมยอดเช่น BMW 7 Series นั้น มิได้ใช้แค่เพียงคอมพิวเตอร์และสมองกลในการช่วยออกแบบ แรงผลักดันที่สำคัญในการสร้างยนตรกรรมชั้นเลิศ ต้องกำเนิดจากกลุ่มบุคคลผู้มีปณิธานอันแรงกล้าในการก่อเกิดสิ่งที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และแรงบันดาลใจในลักษณะเดียวกันนี้ สามารถเกิดจากวงการอื่นที่ไม่ใช่รถยนต์ แต่มีอิทธิพลที่ความคิด และสร้างกำลังใจที่จะทำให้เราเดินก้าวต่อไปได้ อย่างไม่แพ้กัน

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดแคมเปญ “EXPERIENCE THE 7” โดย BMW Thailand ได้ค้นหาบุคคลต้นแบบ ผู้ซึ่งสามารถนำมุมมองในการใช้ชีวิตของพวกเขา มาเป็นแม่แบบในการสร้างพลังใจแก่บุคคลอื่นๆ สำหรับเรื่องราวของเราในวันนี้ มาจากสองดีไซน์เนอร์ผู้ก่อตั้ง Tube Gallery ได้แก่ คุณเต้ ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และ คุณยุ่ย พิสิฐ จงนรังสิน

Tube Gallery เป็นแบรนด์มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่มีจุดเด่นในการหลอมรวมเอาแฟชั่นและวัฒนธรรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่สำคัญคือความเป็น “Individual” หรือมีแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน พาคำว่าแฟชั่นให้ก้าวข้ามกฎเกณฑ์ต่างๆที่เคยพบในอดีต และยังได้สร้างชื่อเสียงให้วงการแฟชั่นของประเทศไทยเป็นที่กล่าวขานในระดับสากล

โดย BMW Thailand คุณเต้ ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และ คุณยุ่ย พิสิฐ จงนรังสินได้มีบทสัมภาษณ์พิเศษในฐานะตัวแทนของนิยามแห่งคำว่า “The Individual” ในแบบฉบับของ BMW ซึ่งบทสนทนาในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบทางความคิด ที่อาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ

  • อะไรที่ทำให้คุณเต้กับคุณยุ่ยสนใจเรื่อง Fashion Design ทั้งที่ไม่ได้เรียนด้านนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม

คุณเต้ : “มันเป็นเรื่องของความรักความชอบเป็นการส่วนตัว เวลาที่ดูหนังดูละครสิ่งที่จะดูก่อนเลยคือเขาแต่งตัวกันยังไง สมัยก่อนผมก็โตมาในยุค 80’s 90’s สมัยที่ยังเป็นเรื่องของ Fashion Magazine ใครจะลงปก ดีไซน์เนอร์เป็นใคร มันเป็นความชอบที่เติบโตมากับตัวเองครับ”

คุณยุ่ย : “สำหรับผมความสนใจมันมาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากคุณแม่เป็นครูสอนตัดเสื้ออยู่ที่ร้านพรศรีและเราเองก็คลุกคลีเห็นเค้าทำมาตั้งแต่เด็กมันคงซึมซับอยู่ในสายเลือด ประกอบกับสมัยเรียนทั้งผมและคุณเต้ได้เรียนทางด้านศาสตร์ของเธียเตอร์มันเลยได้ปูพื้นฐานทางด้านเสื้อผ้ามาในระดับนึงครับ

  • คุณเต้กับคุณยุ่ยมีวิธีการหาความเป็นตัวตน ความเป็น Individual หรือแนวทางของตัวเองยังไงบ้าง

คุณเต้ : “สำหรับผมมองว่าจริงๆ แล้วมันคงไม่มีวิธีการใดในการค้นหาตัวตนหรอก เพราะไม่อย่างนั้นมันคงมีคณะการเรียนการสอนวิธีค้นหาตัวตนยศาสตร์ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของเวลาที่ค่อยๆ เพาะบ่ม คำว่า “Individual” หรือ “ตัวตน” สำหรับเราทั้งคู่ เราใช้เวลากับมันพอสมควร เพราะเราไม่ได้เรียนมา อาศัยครูพักลักจำ อย่างเช่น ช่วงแรกของการทำให้เนื้องานออกมาน่าสนใจ น่าตื่นเต้น มันไม่เหมือนกันสักครั้ง เพราะพวกเรายังไม่เจอตัวตนของตัวเอง เหมือนศิลปินยุค 80’s 90’s ที่ออกเทปมา 6 – 7 เทปก็ยังไม่มีแกนของตัวเองเลยว่าจะเป็นแนวไหน จริงๆ แล้วมันคือเรื่องของเวลา”

คุณยุ่ย : “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของผมเลยคือ ทำในสิ่งที่เรารักและเชื่อมั่นในตัวตนของเราเอง เพราะถ้าเกิดเราไปลอกงานจากคนอื่น ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีความเป็นตัวตนของเราอยู่ ฉะนั้นถ้าเราทำในสิ่งที่เรารักและเราหาตัวตนของเราเจอเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นเขาได้”

  • อะไรที่ทำให้คุณเต้กับคุณยุ่ยอยากมาทำงานทางด้านนี้

คุณยุ่ย : “ด้วยความที่เติมโตมากับคุณแม่ที่เป็นครูสอน Pattern เลยได้เห็นการทำงานของแกตั้งแต่ยังเด็ก มันทำให้เราซึมซับว่างานนี้มันมีคุณค่าในเรื่องของศิลปะและการแต่งกาย รู้สึกว่ามันน่าค้นหา”

คุณเต้ : “สำหรับผมมันเป็นความชอบและความรักในแฟชั่นเป็นการส่วนตัว ตอนเด็กมีความรักอยู่ 2 อย่างคือ การละคร แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบเรื่องของแฟชั่น ซึ่ง ณ วันนี้ Tube Gallery ก็มีโอกาสได้ทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อม ๆ กัน คือการออกแบบเสื้อผ้าที่ใช้ในการละครทั้งในและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นความรักความชอบมันคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เราเดินมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเราจะไม่รับการฝึกฝนหรือเรียนรู้มาในรูปแบบที่มีระเบียบแบบแผนมา”

คุณยุ่ย : “ข้อดีของการที่เราไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีระเบียบแบบแผน มันทำให้เราอยากทำอะไรก็ได้ ที่เราอยากทำ โดยไม่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ และการที่ไม่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์ มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราค้นหาในสิ่งที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นก็ได้ เช่น คนอื่นอาจจะบอกว่า 1 + 1 = 2 สำหรับเรา 1 + 1 อาจจะ = 11 ก็ได้”

  • คุณเต้กับคุณยุ่ยมีวิธีค้นหาตัวเองยังไงว่า นี่คือสไตล์ที่ใช่สำหรับแบรนด์ Tube Gallery

คุณเต้ : “คำถามนี้เป็นคำถามที่เราเอาไว้ถามตัวเองอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานแรกๆ คงไม่มีอะไรจะช่วยเราไปได้มากกว่า กาลเวลา เรามีความฟุ้งซ่านมากในการทำงานจนทำให้เราหลุดออกนอกกรอบของตัวเองไปบ้าง และคนรอบข้างเนี่ยแหล่ะที่ค่อยบอกเราว่า ความฟุ้งซ่านอะไรของเราที่มันเวิร์ค แล้วอะไรที่เราฟุ้งซ่านแล้วมันไม่บ้า เพราะฉะนั้นเราก็เลยค่อยๆ ใช้กาลเวลาและคนรอบตัวค่อยๆ ปั้นตัวตนเราขึ้นมา”

คุณยุ่ย : “สำหรับผมการที่จะทำงานพวกนี้ได้ สิ่งแรกที่สำคัญเลยคือเราต้องใจรักและทุ่มเทกับมัน เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำมันคืออะไร การที่จะค้นหาตัวตนของเราเจอมันต้องใช้เวลาลองถูกลองผิดกับมัน เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ใช้เวลาลองจับสิ่งที่ผิดมาทำให้มันถูก จนกลายเป็นผลงานขึ้นมาได้”

  • การที่เป็นตัวของตัวเองมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร

คุณเต้ : “แน่นอนข้อดีมีอยู่แล้วแน่ ๆ ในเรื่องการทำงานดีไซน์ ถ้างานที่ทำออกมาแล้วมีคนพูดว่า สวยนะ! แต่เคยเห็นแล้ว งานนั้นจะด้อยค่าขึ้นมาทันที มันเกิดขึ้นมาแล้วกับตัวเรา เวลาเราทำงานมันจะต้องมีจุดที่ทุกคนมองมาแล้วเห็นเลยว่านี่แหล่ะคือเราเป็นตัวตนเราเป็นเอกลักษณ์ของเราเองจริง ๆ ฉะนั้นเราจะต้องทำให้คนเห็นให้ได้ว่า สิ่งนี้คืองานที่เกิดจากการ Creativity ที่แท้จริง นี่แหล่ะคือตัวตนที่แท้จริงของเรา”

  • คุณเต้กับคุณยุ่ยอยากฝากอะไรถึงคนที่เขาค้นหาตัวเองเจอแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพราะถูกจำกัดอยู่ภายใต้กรอบความคิดของคนอื่นจนไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเองได้

คุณเต้ : “หนึ่ง ให้เวลากับตัวเองเพราะผมมองว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้ การอยากเป็นตัวของตัวเองมากก็จะลำบากหน่อย ต้องให้เวลาเพื่อจะได้ตกตะกอนว่าวันนึงที่เราเริ่มรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เมื่อนั้นความเป็นตัวตนก็จะชัดเจนขึ้น สอง คือต้องเชื่อมั่นว่าเราเป็นคนอื่นไม่ได้ เราเป็นได้แค่ตัวเอง และสิ่งนี้แหละจะทำให้เรายืนอยู่ได้ยาว ๆ ในชีวิต ไม่เช่นนั้นเราก็จะเหมือนคนอื่นที่เปิดหน้าอินสตาแกรมแล้วโพสต์ท่าเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกันไปหมด มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

คุณยุ่ย : “อีกเรื่องนึงที่สำคัญที่สุดคือความอดทน กว่าเราจะหลุดออกมาจากสิ่งที่ถูกล้อมเอาไว้ได้ต้องอาศัยความอดทนแล้วก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งนี้แหล่ะคุณทำได้ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เหมือนการสร้างกำแพงเมืองจีนมันไม่ได้เสร็จภายในวันเดียว มันอาจจะใช้เวลาเป็นพันปีหรือพันวันก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทำได้ แล้วคุณจะทำมันได้จนถึงจุดหมาย”

คุณเต้ : “ขอเสริมอีกนิดนึงว่าเราทำแฟชั่นมาก็ถือว่านานพอสมควรแล้ว มีคนเก่งกว่าเราเยอะมากตั้งแต่เราทำงานมา คนนั้นเรียนจบจากที่นู่นที่นี่ คนนั้นทำเสื้อผ้าสวยจังเลย แต่เขาอาจจะไม่ได้มาอยู่ถึงวันนี้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้สวยอย่างเดียว เราสวยแล้วเราทน เราต้องทน เราต้องมีความอดทน”

คุณยุ่ย : “เวลาเราทำโชว์ก็มักจะมีคนคอมเม้นว่างาน Tube Gallery เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เรารับฟังและเอาคำเหล่านั้นมาสร้างสรรค์เป็นผลงาน เอาพูดของเขาเหล่านั้นมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานที่เป็นตัวของเราที่ชัดเจน แล้วตอกย้ำกลับไปว่าเนี่ยแหล่ะเราทำได้”

  •   “Be yourself, everyone else is already taken” ได้ประโยคนี้มาอย่างไร และได้มาช่วงไหนของชีวิต

คุณเต้ : “คำนี้มันใช่ มันถูกต้อง เพราะมันมากับการทำงานของพวกเรา เพราะเราทำเสื้อผ้า การเป็นดีไซน์เนอร์เราจะต้องรู้ว่าเราคือใคร ถ้าเกิดเราไม่เป็นใครสักคน เราก็จะไม่ได้เป็นใครสักคน”

  • สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้คิดว่าความมีตัวตนจำเป็นไหม

คุณเต้ : “เชื่อว่าทุกคนมีความเป็นตัวตนของตัวเอง แต่ในกลุ่มคนที่เขาไม่ได้ทำงานทางด้านดีไซน์เขาอาจจะไม่ต้องใช้เวลาในการหาตัวตนนานหรือชัดเจนมาก ๆ เพราะงานที่เค้าทำอาจจะไม่ต้องใช้ความเป็นตัวตนที่ชัดเจนในการอยู่รอดก็เป็นไปได้”

คุณยุ่ย : “มีคำนึงที่ผมชอบมาก มันบอกว่า ถึงแฟชั่นมันจะเปลี่ยนไปยังไง แต่สไตล์มันไม่เคยเปลี่ยน มันสื่อถึงความเป็นตัวตนที่ชัดเจนมาก”

  • การเป็นตัวเองมันดียังไง เพราะสำหรับบางคนมันยากเพราะบางทีมันอาจขึ้นอยู่กับสิ่งรอบ ๆ ตัว มีความยังไงกับสิ่งนี้

คุณเต้ : “จริงๆ มันเป็นเรื่องคลาสสิคกับทุกคน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ นึกอยากเป็นตัวเองแล้วจะเป็นได้เลย ทุกอย่างผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของเวลาและการตกตะกอนที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม กับสภาวะที่เหมาะสม ถ้าคุณมีโอกาสแล้วมีนัยยะที่การเป็นตัวของตัวเองแล้วนำพาให้คุณไปให้ไกลได้ คุณก็ทำ แต่ถ้ามันยังไม่ได้อยู่ในจุดที่เหมาะสมที่จะทำก็ไม่ต้องไปบีบคั้นตัวเองคุณจะไม่เจอมันหรอก มันต้องใช้เวลาต้องใช้การสะสมตกตะกอน มันซื้อขายกันก็ไม่ได้ บอกให้ใครทำก็ไม่ได้ มันคือตัวใครตัวมันจริงๆ”

  • อยากให้แนะนำสำหรับคนที่อยากหาตัวตนตัวเองให้เจอ

คุณเต้ : “ให้ใช้เวลากับตัวเอง ว่าตัวเองชอบอะไร ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น ชอบเที่ยวก็ไปเที่ยว ชอบอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ ชอบเล่นกีฬาก็ไปเล่นกีฬา ทำมันจนกว่าจะเจอ มันไม่มีทางที่จะได้มาง่าย ไม่มีใครขายให้คุณ คุณต้องไปหาเอาเอง”

คุณยุ่ย : “ถ้ามีความฝันก็ทำเลย อย่าให้ความฝันมันอยู่ได้แค่ในความคิด เพราะไม่อย่างนั้นคนอื่นจะวิ่งนำเราไปก่อน เราต้องทำมันออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาจุดยืนในสังคม”

  •  คติพจน์ประจำใจที่ทำให้ประสบความสำเร็จ

คุณเต้ : “Be yourself, everyone else is already taken” เราคงเป็นได้เพียงแค่ตัวเองเนี่ยแหละ คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่น และต้องรู้จักทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเอง แล้วเราต้องรู้ว่าเราจะทำยังไงให้ข้อดีมันเหนือกว่าข้อด้อย”

คุณยุ่ย : “และเราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และเราจะทำมันให้ได้”

  • ทำไมถึงเชื่อว่ากฎคือไม่มีกฎ

คุณเต้ : “เราคิดว่าสิ่งที่เราคิดและทำมันตอบโจทย์หนึ่งความเป็นตัวของตัวเอง ตอบโจทย์สองคนอื่นที่มองเราเข้ามา ความเป็นอะไรก็ได้ที่มันไม่น้อย เราใส่เต็มที่ เราคลั่งเต็มที่แล้วตรงนั้นทำให้เราได้เสียงตอบรับที่ดีกว่า แล้วพอเราได้เสียงตอบรับที่ดีเราก็เชื่อมั่นว่านี่แหละ ตัวตนของเรา เราเลยจับจุดนี้แหล่ะมาเป็น individual ของเรา”

คุณเต้ : “การที่ได้เรียนในระบบก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณจะได้วิธีคิด แต่เมื่อคุณจะค้นหาเรื่องตัวตน มันจะเป็นอีกเวอร์ชันนึงในการสร้างตัวตน เราจะไม่ได้เข้าสู่ขบวนการความคิดที่เป็นระบบ เมื่อเราไม่ได้ติดอยู่กับกฎตั้งแต่ต้น วิธีการของเราก็คือใส่ให้เต็มที่ไปก่อน ปาให้แรงที่สุดไปก่อน แล้วรอดูว่ามันจะเด้งกลับมาถูกทางไหม แล้วถ้ามันกลับมาทางไหน เราก็เอาทางนั้น”

คุณยุ่ย : “สำหรับคนที่ได้รับการเรียนมา วิธีการของเขาก็อาจจะไม่ต้องหาตัวตนในระดับนึง แต่สำหรับเรา เราใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตที่จะเจอตัวตนที่ชัดเจนของเรา เราใช้เวลาที่จะรู้ว่าทางไหนคือทางของเรา เพราะที่แน่ ๆ ทางของ Tube Gallery คือ ทางที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด เพราะเราใช้คำนิยามของเราว่า ทุกอย่างคือศิลปะ เราทำผลงานของเราวันนี้ให้เป็น Masterpiece ถึงแม้เราจะไม่อยู่ในวันนี้แต่ผลงานของเรายังอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นศิลปะจะถูกจดจำแม้พวกเราจะไม่อยู่แล้วก็ได้”

  • เคยมีเหตุการณ์ไหนที่คนไม่ชอบแล้วทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเป็นตัวเองและมีวิธีการรับมือหรือจัดการกับมันยังไง

คุณเต้ : “ตอนที่เราทำเสื้อผ้าแรกมีคนพูดว่า จะใส่ได้จริงหรอ แบบสุภาพที่สุดแล้วจริงๆ แล้วคือจะบอกว่าสวยนะ แต่ใส่ไม่ได้ หรือมีคำที่บอกว่า ใครจะใส่เหมือนเป็นถูกตราหน้า ซึ่งอันนี้เป็นแรงผลักดันว่า เราจะทำยังไงให้ ความกฎไม่มีกฎหรือ Maximalism ที่เราอยากจะเป็นตัวของเรา มันอยู่ในกรอบที่คนยังใส่ได้ มันสวยและใส่ได้ และไม่เหมือนใคร กว่าที่จะหาตรงนี้เจอนี่คือการใช้เวลาทำงานถึงจะเจอ ซึ่งมันไม่ได้จะเจอภายใน 3 วัน 5 วัน ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเจอ และมันถูกขัดเกลาโดยคนรอบข้างว่าอะไรใช้ได้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในดุลพินิจของเราว่าเราต้องเชื่อไหม หรือเราจะเอาเข้ามาอยู่ในใจแล้วเอาไปพัฒนาต่อไหมที่เราจะต้องทำต่อไป”

และนี่ก็คือ เรื่องราวของสองบุคคล ผู้ที่มีจุดเริ่มต้นในชีวิต มีความรุ่งเรือง มีอุปสรรค เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน หากแต่ทั้งสองท่านนี้ มีความแน่วแน่ในหนทางของตนเอง และใช้พลังสมอง พลังใจ ผสานกับแนวคิดที่จะพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง กล้าทำในสิ่งที่แปลกใหม่ จนเกิดเป็นผลงานระดับโลกได้ เมื่อเรามองว่าทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่มี 1 หัว สองมือ สองเท้า และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน การมีความมั่นคงต่อจิตวิญญาณของตนเอง และสู้เพื่อสิ่งนั้นอย่างไม่ย่อท้อ ท้ายสุด ความคิดที่ดี จะเป็นแรงผลักดันให้คุณก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวงการใด

Comments

comments