รีวิว BMW i8 “หล่อ สปอร์ต รักโลก” รถยนต์แห่งอนาคต ที่ซื้อได้ในยุคปัจจุบัน

BMW i8 เป็นสุดยอดรถยนต์ในฝันของหลายๆ คน ที่ต้องตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกเห็น ด้วยดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว เส้นสายเฉียบคมแบบรถสปอร์ต และเต็มเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีจากโลกอนาคต ที่วันนี้ผมจะรีวิวการใช้งานจริงของ BMW i8 บนท้องถนนกรุงเทพมหานครให้ชมกันครับ

BMW i.

BMW i8 เป็นรถยนต์ภายในแบรนด์ BMW i รุ่นแรกที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดย BMW i เป็นแบรนด์ย่อยของ BMW ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2011 ภายใต้ปรัชญา ‘Born Electric’ รื้อโครงสร้างการผลิตรถยนต์ในอุตสาหกรรมใหม่ทั้งหมด ให้มีความเหมาะสมกับการเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว เพื่อความยั่งยืนในการใช้พลังงานในอนาคต และจะเป็นแบรนด์ที่โฟกัสในเรื่องเทคโนโลยีการโดยสารของผู้คนในอนาคตอีกด้วย

bmw-i3-and-8-concept-cars-01

สาเหตุที่ BMW ต้องสร้างแบรนด์ย่อยภายใต้ชื่อ BMW i ขึ้นมานั้น ก็เพราะว่า เทรนด์การใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน แต่โครงสร้างตัวถังรถยนต์ และขั้นตอนการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปัจจุบัน ไม่ได้เอื้อประโยชน์กับการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ เช่น โครงสร้างตัวถังแบบเดิมๆ ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักของแบตเตอรีไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่มีน้ำหนักมาก หาก BMW เอาโครงสร้างตัวถังของรถยนต์ปัจจุบัน มาดัดแปลงให้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ก็จะไม่มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ตามที่มันควรจะเป็น แบตเตอรีที่มีน้ำหนักมาก ก็จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของการเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงสักคัน ตลอดไปจนถึงห้องเครื่องยนต์ การเผาไหม้ เพลาขับเคลื่อนต่างๆ ในรถยนต์ปัจจุบัน ก็มีแตกต่างกับการขับเคลื่อนของรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง

bmw-i8-modules

BMW i จึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แนวคิด ‘Born Electric’ คิดใหม่ ทำใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่แรก ให้รถยนต์ภายใต้แบรนด์ BMW i นี้ เกิดมาเพื่อการเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ ออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ ให้มีน้ำหนักเบา โดยเป็นรถยนต์ในระดับ mass production แบรนด์แรก ที่เลือกใช้วัสดุ Carbon-Fibre Reinforced Plastic หรือ CFRP (ซึ่งถูกใช้ในรถแข่งฟอร์มูล่าวัน, เครื่องบิน และ ยานอวกาศ) มาเป็นโครงสร้างหลักของตัวถัง ที่มีน้ำหนักเบากว่าเหล็กกล้า 2 เท่า แต่ให้ความแข็งแรงได้สูงสุดกว่าเหล็กกล้าถึง 5 เท่าตัว ที่แน่นอนว่า มันจะเหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก เพราะต้องชดเชยกับน้ำหนักของแบตเตอรีไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่มีน้ำหนักมากอยู่แล้ว และยังต้องเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถังบางจุดมากเป็นพิเศษ

bmw-i8-modules

โครงสร้างตัวถังของ BMW i ถูกออกแบบให้แบตเตอรีไฟฟ้าอยู่บริเวณด้านล่างสุดของตัวรถ เพื่อทำให้ศูนย์ถ่วงของน้ำหนักอยู่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยของตัวรถได้อีกด้วย ส่งผลดีกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะใช้ภายใต้แบรนด์ BMW i ที่ไม่เพียงจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืนกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่มันจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับดีมากๆ อีกด้วย

assembly-bmw-i-models19

BMW ลงทุนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ BMW i อย่างจริงจังมาก เพราะนี่คืออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างแท้จริง ถึงกับลงทุนกับโรงงานผลิต Carbon-Fibre ในสหรัฐอเมริกา เพื่อป้อนให้กับความต้องการของรถยนต์ BMW i โดยเฉพาะ รวมถึงลงทุนกับโรงงาน Leipzig ที่เยอรมันเพื่อใช้ในการประกอบรถยนต์ BMW i โดยทั้งสองโรงงาน มีปณิธานแนวแน่ว่า จะใช้เฉพาะพลังงานสะอาดในทุกขั้นตอนของการผลิต และเน้นย้ำอยู่เสมอว่า เราจะผลิตรถยนต์พลังงานสะอาด จากโรงงานที่ใช้พลังงานสกปรกไม่ได้! (ฟังแล้วขนลุกกันไปข้าง)

i-family

เบื้องต้น BMW เปิดตัวรถยนต์ภายใต้แบรนด์ BMW i ออกมาสองรุ่นครับ นั่นคือ BMW i3 รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% แบบไม่เติมน้ำมัน (ยังไม่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุผลเรื่องความพร้อมของโครงสร้างการชาร์จพลังงานไฟฟ้าในตัวเมือง) กับรุ่น BMW i8 รถยนต์สปอร์ตไฮบริด ที่ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้า และมีเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 3 สูบ (เล็กๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งดูถูกมันนะ) ติดมาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว คันที่ผมจะรีวิวให้ชมกันวันนี้นั่นเองครับ

BMW i8 : The Most Progressive Sports Car.

dsc00489

หน้าตาของ BMW i8 เห็นแล้วต้องตกหลุมรักแทบจะทันทีเลยล่ะครับ คันนี้มาในสีเงิน Ionic Silver ตัดกับลายเส้นสีฟ้า BMW i Blue ได้อย่างลงตัว เส้นสายการออกแบบทั้งหมด ถูกสร้างขึ้นจากปรัชญาการออกแบบที่เน้น 3 สิ่ง คือ ความยั่งยืน, ความพรีเมียม และ สมรรถนะ ที่อ้างอิงตามหลักอากาศพลศาสตร์ แบบที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผสมผสานออกมาเป็นลายเส้นรอบตัวรถที่มีความสปอร์ต ให้ความรู้สึกถึงความเป็นยานยนต์แห่งอนาคตที่ทุกคนสัมผัสได้ตั้งแต่แรกเห็น

dsc00494

ด้านหน้าของตัวรถ ยังคงมี BMW Kidney Grill ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW ขนาดใหญ่ แต่เป็นเพียงแค่รูปทรง Kidney เท่านั้น ไม่ได้เป็นช่องหรือรูดักอากาศแต่อย่างใด เนื่องจาก BMW i8 ได้ใช้พื้นที่ของฝากระโปรงหน้ารถทั้งหมดเป็นตำแหน่งของมอเตอร์ไฟฟ้า และชุดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของตัวรถ แบบไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอากาศจากภายนอก ซึ่งฝากระโปรงหน้าของ BMW i8 ถูกออกแบบไม่ให้ลูกค้าเปิดได้ และต้องเปิดโดยศูนย์บริการ BMW i เท่านั้น

dsc00506

ไฟหน้ารถของ BMW i8 ถือเป็นส่วนที่มีความโดดเด่นสะดุดตา โดยเฉพาะเมื่อเปิดการทำงานของไฟ Daytime Running Lights ที่จะสว่างขึ้นเป็นลายเส้นขอบของไฟหน้า ส่วนบริเวณใต้กรอบไฟหน้า เป็นรูดักอากาศ ที่จะส่งต่ออากาศเย็นจากด้านหน้ารถ ผ่านเข้าไประบายความร้อนให้กับเบรกคู่หน้า และยังเป็นดีไซน์ที่เอื้อต่อการไหลของอากาศตามหลัก aerodynamics ของตัวรถได้อย่างแนบเนียน

dsc00541

ด้านข้างของตัวรถ มีเส้นสายที่เฉียบคมอย่างมาก ความสูงโดยรวมของตัวรถสูงเพียง 1,298 มิลลิเมตร และเฉพาะสัดส่วนของล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว ก็กินไปกว่าครึ่งของความสูงตัวรถแล้ว มีแนวเส้นโค้งของกระจกหน้าและกระจกหลังที่ให้ความสปอร์ต บวกกับเส้นขอบล่างของประตูรถที่สอดรับกันได้อย่างลงตัว

dsc00508

เอกลักษณ์โดดเด่นของ BMW i8 ที่บริเวณด้านข้างของตัวรถ ส่งต่อไปถึงด้านท้ายรถ ก็คือช่องทางเดินของอากาศด้านข้าง ที่แนบกับตัวถังของตัวรถ ยิงตรงออกไปบริเวณช่องไฟท้าย เหมือนอุโมงค์ที่มาแนบอยู่บริเวณตัวรถทั้งสองข้างโดยอาศัยการเหลื่อมกันของตัวถัง ที่ BMW เรียกการออกแบบประเภทนี้ว่า Layering Principle ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ BMW i8 คันนี้ดูล้ำยุคขึ้นไปอีกระดับ

dsc00503

บริเวณด้านท้ายของตัวรถ มีการสลับด้วยสีดำกับสีของตัวถังจริงของรถยนต์ และตัดขอบด้วยสีฟ้า BMW i Blue โดดเด่นด้วยไฟท้ายรูปทรงแปลกตา โดยมีไฟเบรกเป็นรูปตัว U และแยกเอาไฟเลี้ยวขึ้นไปอยู่บนขอบตัวถังที่ซ้อนกันอยู่ ประดับด้วยตราสัญลักษณ์ชื่อรุ่น i8 และอีกด้านเป็นโลโก้ eDrive ที่มีติดอยู่กับรถยนต์ BMW ทุกรุ่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

dsc00518

ส่วนที่หลายคนชื่นชอบที่สุดในรถยนต์ BMW i8 น่าจะเป็นประตูของมันครับ BMW i8 ใช้ประตูแบบปีกนก เปิดขึ้นด้านบน ที่ทำให้ทุกครั้งที่ขึ้นลงจากรถ หรือได้พบเห็นรถยนต์คันนี้เปิดประตู จะให้ความรู้สึกเหมือนยานอวกาศที่มาจากโลกอนาคต แต่เห็นการเปิดปิดประตูแบบเท่ๆ นี้ ต้องอาศัยความคุ้นเคยกันสักพักเลยนะครับ กว่าจะได้ท่าขึ้นลงจากรถที่ดูไม่ตะกุกตะกักมากเกินไปนัก เพราะ BMW i8 มีขอบบันไดที่ค่อนข้างกว้าง ตัวรถค่อนข้างเตี้ย และเบาะอยู่ค่อนข้างลึก การขึ้นลงจากรถคันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกๆ คนครับ บางคนขึ้นลงเพียงครั้งเดียว ก็ถึงกับถอดใจไปเลยก็มี แต่หากได้ครอบครองสักพักแล้ว เมื่อรู้จังหวะการขึ้นลง มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

dsc00505

ก่อนที่จะเข้าไปนั่งข้างใน หลายคนอาจจะสงสัยว่า รถสปอร์ตรูปทรงแบบนี้ จะมีพื้นที่ให้เก็บสัมภาระมากน้อยแค่ไหนกัน ก็ขอบอกเลยครับว่า “เก็บได้น้อยมาก” ด้วยเหตุผลที่ว่า พื้นที่ฝากระโปรงหน้ารถทั้งหมดเป็นชุดขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่สามารถเปิดได้ ส่วนพื้นที่ฝากระโปรงท้ายกว่าครึ่ง ก็เป็นตำแหน่งของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ เหลือพื้นที่ไม่มากนักในการใส่กระเป๋าไซส์ที่ลากขึ้นเครื่องบินได้อีก 1 ใบเท่านั้น แถมพื้นที่เก็บสัมภาระบริเวณนี้ ก็จะมีความร้อนสะสมค่อนข้างมากด้วย เนื่องจากอยู่ชิดกับห้องเครื่องยนต์เลยครับ ซื้อของสดอะไรมา ไม่ควรเก็บไว้ในนี้เด็ดขาด ได้ความเท่ ก็ต้องสูญเสียอรรถประโยชน์อะไรบางอย่างแลกกันไปนะ

screen-shot-2016-09-21-at-17-39-06

ภายในห้องโดยสารของตัวรถ แม้ว่า BMW i8 จะดูเป็นรถสปอร์ตที่มีพื้นที่จำกัด แต่หากไปดูตัวเลขมิติของตัวรถแล้ว จะพบว่า BMW i8 เป็นรถที่มีความกว้างมากๆ ครับ (1,942 มิลลิเมตร) ซึ่งตัวเลขนี้ ถือว่ากว้างกว่า BMW 7 Series ใหม่ (1,902 มิลลิเมตร) และกว้างกว่า Mercedes-Benz S-Class (1,899 มิลลิเมตร) เสียอีก ด้านในมีเบาะแบบสปอร์ต 2 ที่นั่ง และมีเบาะคู่หลังขนาดเล็กๆ ที่ผมลองมุดเข้าไปนั่งแล้ว ไม่น่าจะใช้โดยสารอะไรได้เลยครับ (ต้องเป็นคนตัวเล็กพอสมควร ถึงจะพอเข้าไปนั่งโดยสารได้) มีไว้วางของ วางกระเป๋าเป้อะไรพอได้อยู่

dsc00548

คอนโซลหน้าของตัวรถ ให้ความล้ำยุคอย่างมากโดยเฉพาะในส่วนของหน้าปัดหลังพวงมาลัย ที่เป็นหน้าจอทั้งหมด พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน พร้อมโลโก้ BMW ตรงกลางที่ตัดด้วยเส้นสีฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW i รวมถึงขอบของพวงมาลัยโดยรอบด้วย

อีกหนึ่งข้อสังเกต คือ BMW i8 มีพื้นที่ระหว่างคนนั่งซ้าย/ขวาเยอะมากๆ ครับ คอนโซลกลางมีความกว้างมากๆ (เรียกว่า พอมีคนนั่งด้วยแล้วแล้วจะรู้สึกห่างกันพอสมควรเลยแหละ) เหตุผลหนึ่งก็คือ ตรงแกนกลางของตัวรถนี่แหละครับ คือตำแหน่งของแบตเตอรีแรงดันสูง ที่เอาไว้เก็บประจุพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนด้วยโหมด eDrive นั่นเอง เราเลยต้องยอมนั่งแบบห่างไกลกันสักนิด ด้วยข้อจำกัดของดีไซน์ของตัวรถ

dsc00512

Technical Specifications

bmw-i8-thailand-spec

Drive!

คุยกันถึงสรรพคุณมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่เราจะมาขับยานอวกาศลำนี้กันครับ เท้ากดแป้นเบรค และมือกดปุ่ม START ที่คอนโซลกลาง เสียงที่ได้ยินคือ เสียง วี๊ดดดดด… เบาๆ พร้อมหน้าจอหลังพวงมาลัยติดขึ้นมาทักทาย โดยไม่มีเสียงเครื่องยนต์ใดๆ เงียบกริบ เงียบสนิททั้งภายในและภายนอกตัวรถ มีเพียงหน้าจอสีฟ้า หน้าตาล้ำยุค ที่บ่งบอกสถานะว่า BMW i8 คันนี้ พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เป็นโหมดมาตรฐาน

screen-shot-2016-09-21-at-17-35-28

ผมค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก ให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แม้จะฝืนสักนิดกับความสปอร์ตของตัวรถ แต่ไร้ซึ่งเสียงเครื่องยนต์ให้ได้ยิน มีเพียงเสียงของยางขนาด 215/40R20 สำหรับคู่หน้า และ 245/40R20 สำหรับคู่หลัง บดถนนให้ได้ยินเป็นระยะๆ เท่านั้น โดยในโหมดมาตรฐาน (COMFORT) นี้ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบ 228 แรงม้า จะยังไม่ทำงานจนกว่าจะมีการกระแทกคันเร่ง หรือเมื่อมีความต้องการอัตราเร่งในบางช่วงเวลา

ในโหมด COMFORT นี้ เป็นโหมดมาตรฐานสำหรับใช้โดยสารในเมือง ที่มีการจราจร แบบใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก ซึ่งคอมพิวเตอร์จะทำการคำนวนอย่างชาญฉลาด ให้ BMW i8 มีอัตราการประหยัดพลังงานสูงสุด โดยที่ยังคงความสนุกในการขับขี่ได้อยู่ และพร้อมที่จะให้เครื่องยนต์เข้ามาตอบสนอง เพิ่มสมรรถนะของตัวรถได้ทันทีที่ต้องการ และตัดการทำงานของเครื่องยนต์เมื่อไม่จำเป็นลงทันทีเช่นกันเพื่อเป็นการประหยัดน้ำมัน โดยโหมดนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรีอย่างต่อเนื่อง โดยแทบจะไม่มีการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรีเลย เรียกว่าถ้าอยู่ในโหมดนี้ไปเรื่อยๆ ปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรีก็จะหมดลง จนเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเองในภายหลังครับ

screen-shot-2016-09-21-at-17-57-41

แต่เรากระโดดขึ้นมาขับ BMW i8 สปอร์ต หล่อ รักโลกคันนี้ทั้งที ก็ย่อมต้องอยากมีฟีลรับรู้ความเร็วความแรงให้เข้ากับลุคของตัวรถกันบ้าง ซึ่ง BMW เองก็ได้สร้างโหมด SPORT เอาไว้ตอบโจทย์อยู่แล้ว ด้วยการผลักคันเกียร์ไปทางซ้าย ที่ตำแหน่ง SPORT เท่านั้นเอง โดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ทันใดนั้น หน้าจอหลังพวงมาลัย ก็จะเปลี่ยนจากสีฟ้า เป็นสีแดง พร้อมแสดงสถานะโหมด SPORT อย่างชัดเจน รวมถึงเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 3 สูบที่อยู่ด้านหลังของเรา ก็จะติดขึ้นทันทีที่ผลักเข้าโหมด SPORT ด้วย ส่งเสียงคำรามออกมาให้รับรู้ และให้อะดรีนาลีนในร่างกายเริ่มทำงาน

screen-shot-2016-09-21-at-17-41-31

ในโหมด SPORT นี้ จะทำงานตรงข้ามกับโหมด Auto eDRIVE แบบกลับข้างกันเลยครับ นั่นคือในโหมด SPORT จะมีการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิง ผ่านเครื่องยนต์เป็นหลัก (คือเครื่องยนต์จะทำงานตลอดเวลาเมื่ออยู่ในโหมดนี้) โดยที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะยังไม่ทำงานเลย และหากพลังงานที่ได้จากเครื่องยนต์เหลือการการขับเคลื่อนตัวรถ ก็จะถูกนำไปใช้ในการชาร์จแบตเตอรีไฟฟ้าของตัวรถ แต่หากเราต้องการความแรงถึงขีดสุดของ BMW i8 ก็แค่ให้กระแทกคันเร่งลงไปให้จมมิด รถยนต์ก็จะเปลี่ยนเข้าสู่โหมด eBOOST โดยใช้พลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่สร้างกำลังได้สูงสุด 129 แรงม้า ในการขับเคลื่อนล้อคู่หน้า บวกกับกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ 228 แรงม้าในการขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ส่งผลให้ BMW i8 ได้พละกำลังจากสองขุมพลังหลักของตัวรถช่วยกันกระชากให้ BMW i8 ของเราเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยแรงม้ารวมสูงสุดถึง 357 แรงม้า ชนิดหลังติดเบาะ และฟีลลิ่งมาเต็มแบบสุดๆ

img_2201

BMW i8 ยังมาพร้อมกับโหมด Launch Control ที่รถสปอร์ตหลายค่ายมีครับ โหมดนี้จะช่วยให้การออกรถจากหยุดนิ่ง ทะยานขึ้นสู่ความเร็วสูงสุด ด้วยอัตราเร่งที่สูงที่สุดเท่าที่รถยนต์จะทำได้ (โดยต้องกดสูตรเล็กน้อย คือ ปิด DSC / ผลักเข้าโหมด SPORT / เท้าซ้ายกดเบรกสุด / เท้าขวากดคันเร่งสุด / รอให้สัญลักษณ์ Launch Control ขึ้นที่หน้าจอ / เท้าซ้ายปล่อยเบรกอย่างรวดเร็ว) ซึ่งจะทำให้ BMW i8 คันนี้ เร่งจากหยุดนิ่ง ไปถึงความเร็ว 100km/h ด้วยเวลาเพียง 4.4 วินาทีเท่านั้น ผมลองดูแล้ว ต้องบอกว่าติดใจในความแรงของมันอย่างมาก และความรู้สึกที่ได้ คือมันไม่เหมือนกับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่นอื่นๆ เลย เพราะต้องไม่ลืมว่า กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ให้แรงบิดเต็มที่ได้ตั้งแต่รถอยู่นิ่งชนิดที่ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ และพอได้พละกำลังจากเทอร์โบของเครื่องยนต์มาช่วยเสริมในขณะที่รถเริ่มมีความเร็วเข้าไปอีก บวกกับการสับเกียร์แบบ Dual Clutch ที่ทำได้ภายในพริบตาของ BMW i8 แล้ว นี่คือความรู้สึกที่ไม่มีทางลืมเลือนจริงๆ ครับ

สำหรับเสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยินจากในตัวรถ ทั้งเสียงขณะ idle และเสียงเมื่อมีการเหยียบคันเร่งขึ้นไป เสียงรอบเครื่องยนต์เมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์ ต้องเรียนให้คุณผู้อ่านทราบว่า มันเป็นเสียงสังเคราะห์ผ่านทางลำโพงของตัวรถครับ (เฮ้ย แต่มันทำได้เนียนมากๆ เลยนะ ขอบอก) เนื่องจากเครื่องยนต์ของ BMW i8 คันนี้ มีขนาดเล็กเพียง 1.5 ลิตรเท่านั้น หากใช้เสียงเครื่องยนต์แท้ๆ ของมัน อาจจะไม่ได้ฟีลขนาดนี้ครับ จุดนี้ขอยืนยันว่า BMW ทำได้เนียนมากๆ ชนิดที่ ถ้าไม่บอกว่าเป็นเสียงปลอม ก็ไม่มีใครรู้แน่ๆ

screen-shot-2016-09-21-at-17-49-11

อีกหนึ่งข้อดีของการแบ่งหน้าที่ ให้มอเตอร์ไฟฟ้ารับภาระของล้อคู่หน้าไปแบบเต็มๆ และให้เครื่องยนต์รับภาระของล้อคู่หลังนั้น ทาง BMW ชาญฉลาดมากในการออกแบบรถยนต์สปอร์ตไฮบริดคันนี้ในรูปแบบนี้ เพราะในโหมด SPORT ในขณะที่ใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก BMW i8 จะทำหน้าที่เหมือนรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังตามสไตล์ที่ถนัดของรถ BMW แต่เมื่อมีอัตราเร่งสูงสุดที่ต้องใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยในโหมด eBOOST แล้ว มันก็จะกลายร่างเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งมีการกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุล ยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น และให้ระบบ DSC ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น แม้จะมีอัตราเร่งสูง และใช้ความเร็วสูงอยู่ก็ตาม

แม้ว่า BMW i8 จะไม่ใช่รถสปอร์ตที่แรงที่สุด หรือมีอัตราเร่งที่ดีที่สุด แต่ความสมดุลของการใช้ประโยชน์จากสองขุมพลังนั้น มีความลงตัวสูงมาก และทำงานได้อย่างแนบเนียนมาก โดย BMW ตั้งใจที่จะไม่ให้คนขับมากังวลกับโหมดหรือระบบต่างๆ อะไรมากมายนัก ขอให้รับรู้ได้ว่า รถยนต์คันนี้มันพร้อมจะตอบสนองได้เมื่อเราต้องการพละกำลังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเน้นกันอย่างชัดเจนในแต่ละโหมด คือในโหมด COMFORT ก็จะพยายามประหยัดและให้ความสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่โหมด SPORT ก็จะพยายามให้ความแรงและความสนุกในการขับขี่อย่างเต็มที่นั่นเอง

screen-shot-2016-09-21-at-17-43-11

อีกหนึ่งโหมดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือโหมด MAX eDRIVE ครับ ที่สามารถเปิดการทำงานได้จากการกดปุ่มที่ติดอยู่กับปุ่ม START เพื่อให้ไฟสีฟ้าติดขึ้น โหมดนี้ ตรงตามชื่อของมันเลย คือเป็นโหมดที่จะใช้พลังจากแบตเตอรีไฟฟ้า 100% ชนิดที่จะไม่มีการทำงานของเครื่องยนต์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะกระแทกคันเร่งแรงขนาดไหนก็ตาม ก็จะเป็นการใช้พลังของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่ปล่อยมลพิษสู่อากาศเลยแม้แต่นิด และจะใช้ไปเรื่อยๆ จนกว่ากำลังไฟในแบตเตอรีจะหมดลง จึงจะมีหน้าจอเตือนว่า ไม่สามารถใช้งานในโหมด MAX eDRIVE นี้ต่อไปได้อีกแล้ว

screen-shot-2016-09-21-at-17-58-01

โหมด MAX eDRIVE นี้ อย่าได้ดูถูกไปเชียวครับ เพราะอัตราเร่งและแรงบิดที่ได้จากพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ นี่แหละคือจุดเด่นที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าทุกคัน แรงตั้งแต่รถหยุดนิ่ง และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 km/h โดยไม่พึ่งน้ำมันแม้แต่หยดเดียว รวมถึงอัตราเร่งที่ได้ ก็สามารถทำความเร็วจาก 0 หรือหยุดนิ่ง ไปถึง 60 km/h ได้ในระยะเวลาเพียง 4.5 วินาทีเท่านั้น โดยตลอดเวลาในโหมด MAX eDRIVE จะขับเคลื่อนแบบเงียบสนิท ไม่มีเสียง ไม่มีมลภาวะ และหากชาร์จไฟมาเต็มๆ ก็จะสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดประมาณ 35 กิโลเมตร เพียงพอสำหรับการใช้งานเฉลี่ยจากบ้านไปที่ทำงานของหลายๆ คนได้แบบสบายๆ และหากที่ออฟฟิศมีช่องให้เสียบชาร์จ ก็เพียงพอที่จะใช้ขับกลับบ้านได้ แบบไม่ต้องเติมน้ำมันกันเป็นเดือนๆ เลยล่ะครับ

การที่มีโหมด MAX eDRIVE นี้ มาพร้อมกับฟีเจอร์ในการ hold ระดับแบตเตอรีด้วยครับ ในกรณีที่ขับรถจากนอกเมืองเข้ามา อาจจะเปิดโหมด COMFORT ปกติ แต่ hold ระดับแบตเตอรีที่ชาร์จไว้เต็มมาจากบ้าน ไม่ให้ใช้พลังงานไฟฟ้าในช่วงแรกของการขับขี่ บังคับให้รถยนต์ไปใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ล้วนๆ ก่อนในการเดินทางระยะไกลที่ต้องใช้ความเร็วบ้าง จากนั้นพอเริ่มเข้าเมือง ค่อยเปิดโหมด MAX eDRIVE แบบใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ ที่จะทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันน้อยที่สุดในการเดินทางตลอดทั้งทริป และยังไม่ปล่อยมลภาวะในเขตเมืองอีกด้วย ดูหล่อทันทีเลย

screen-shot-2016-09-21-at-17-42-02

พูดถึงความหล่อ ก็แน่นอนว่า BMW i8 นี่หล่อมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วครับ ด้วยรูปทรงที่เด่นสะดุดตา และมันถูกจัดเข้ากลุ่ม ‘supercar’ เป็นที่เรียบร้อยจากบรรดาห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ที่มักจะมีที่จอดรถพิเศษให้กับรถยนต์กลุ่มนี้อยู่เสมอ ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่จอดรถเลย มีที่จอดรถพิเศษไว้รอต้อนรับอยู่ตลอด แถมมีเจ้าหน้าที่เฝ้ารถให้อีกด้วย และหลายๆ ครั้งที่เดินกลับมาขึ้นรถ ก็ต้องเจอกับความเขินเล็กน้อย ที่มักจะมีคนยืนถ่ายรูปคู่กับ BMW i8 อยู่เสมอๆ ครับ เป็นรถที่หล่อจริงจังมาก

Charge!

dsc00481

สำหรับการชาร์จแบตเตอรีของ BMW i8 นั้น หากเป็นการชาร์จนอกบ้าน ตามห้างร้าน หรืออาคารสำนักงานนั้น ปัจจุบัน BMW Thailand ได้มีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง หรือ BMW eDRIVE Charging Station ประจำการอยู่ 3 แห่งแล้ว ประกอบไปด้วย ห้าง Central World ชั้น B1, อาคาร All Seasons Place ชั้น B1, โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล และกำลังพิจารณาเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ในเดือนตุลาคมนี้ รวมถึงจะเพิ่มขึ้นอีกหลากหลายแห่งต่อไปในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้ ให้บริการกับรถยนต์ eDrive ของ BMW ที่ออกรถจาก BMW Thailand ได้ฟรี (รถทุกคันจะได้รับสติ๊กเกอร์สีฟ้า เพื่อใช้จอดและชาร์จไฟในช่องดังกล่าวได้) ที่ตอนนี้มีเพียง BMW i8, BMW 330e และ BMW X5 xDrive40e ครับ แต่ก็จะมีรถยนต์ BMW รุ่นอื่นๆ ที่สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ในอนาคตออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอน

dsc00478

ระยะเวลาในการชาร์จไฟของ BMW i8 ผ่านสถานีชาร์จไฟ BMW eDRIVE Charging Station ซึ่งเป็นการชาร์จแบบเร็ว (fast charging – 16A) นั้น จะใช้เวลาในการชาร์จจาก 0 จนถึง 80% ได้ในเวลา 2 ชั่วโมงครับ ซึ่งเมื่อระดับแบตเตอรีแตะ 80% แล้ว เครื่องชาร์จจะคำนวนให้ชาร์จด้วยความเร็วที่ลดลง เพื่อเติมเต็มประจุให้กับแบตเตอรีแต่ละเซลล์ และจะชาร์จได้เต็ม 100% ด้วยระยะเวลาราวๆ 4 ชั่วโมง

screen-shot-2016-09-21-at-17-46-21

ส่วนการชาร์จไฟที่บ้าน ลูกค้า BMW i8 ทุกคน เมื่อซื้อรถ ก็จะได้รับ BMW Wallbox สำหรับติดตั้งที่บ้านไปด้วย แต่ต้องติดตั้งจากช่างผู้ชำนาญการของ BMW Thailand ที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่บ้าน และการเดินสายไฟเพื่อติดตั้งเท่านั้น แต่หากไม่สะดวกชาร์จผ่าน Wallbox ถ้าเปิดท้ายรถมา ก็จะพบอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ แบบที่เราสามารถเสียบปลั๊กเข้ากับรูปลลั๊กตามบ้านได้เลยอีก 1 ชุด สำหรับใช้ในการชาร์จไฟบ้าน หรือชาร์จนอกสถานที่ ที่ไม่ได้มีสถานีชาร์จแบบ Wallbox เอาไว้บริการ แต่ความเร็วในการชาร์จ ก็จะช้าลงตามลำดับนะครับ

dsc00483

อัตราการกินไฟของรถยนต์ไฟฟ้าขณะเสียชาร์จ ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็จะกินไฟประมาณแอร์หรือเครื่องปรับอากาศขนาดกลางๆ ตัวนึงครับ ตอนชาร์จไฟ ก็จะกินไฟพอๆ กับการเปิดแอร์ตัวนึงนั่นแหละ (แบตเตอรี BMW i8 มีขนาด 7kWh และรองรับอัตราในการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 3.3 kW)

Summary

เดิมพันอันยิ่งใหญ่ของ BMW ที่ลงทุนมหาศาลกับแบรนด์ BMW i ได้สะท้อนภาพออกมาอย่างชัดเจนครับ ว่าความพยายามครั้งนี้ของ BMW นั้นเหนือความคาดหมายของหลายๆ คน และผลงานของ BMW i8 ก็เป็นคำตอบของภาพรถยนต์แห่ง “อนาคต” ที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินปัจจุบัน ทั้งแนวคิดของการออกแบบและผลิตรถยนต์ด้วยกรรมวิธีใหม่ทั้งหมด และกล้าฉีกกฎเดิมๆ ที่อยู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์มานานหลายสิบปี

BMW i8 ให้ฟีลลิ่งถึงความเป็นโลกอนาคตอยู่ในทุกสัดส่วนอย่างแท้จริงครับ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ปฏิเสธได้ยากจริงๆ ว่าดูล้ำยุคเกินกว่าจะเป็นรถยนต์ที่เราจะสามารถพบเจอได้บนท้องถนนปัจจุบัน ไปจนถึงฟีลลิ่งในการขับขี่ ที่ได้อานิสงส์จากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยให้รู้สึกถึงความเป็น “รถยนต์” ที่เรารู้จักกันมายาวนานนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน บวกกับสมรรถนะที่ BMW รังสรรค์ขึ้นมาตอบสนองความต้องการได้ในทุกสถานการณ์ที่อาจพบเจอบนท้องถนน จนเรียกว่า นี่คือความสมบูรณ์แบบของรถยนต์ในการใช้งานชีวิตประจำวันได้เลย

อย่างไรก็ตาม BMW i8 ก็ยังมีข้อจำกัดให้พิจารณาอยู่มากพอสมควรนะครับ ทั้งพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่มีมาให้อย่างน้อยนิด ความลำบากในการขึ้นลงตัวรถ รวมถึงระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้า ก็ยังถือว่าน้อยเกินไปหน่อย

dsc00521

นี่คือที่สุดของความลงตัวในความเป็นรถยนต์สปอร์ตไฮบริด ที่ BMW ได้พิสูจน์แล้วว่า BMW เป็นผู้นำชนิดกินขาดจากหลากหลายตัวเลือกในตลาด ดีไซน์สะดุดตา มีความสปอร์ตใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แถมยังรักโลก แม้ว่า BMW i8 จะไม่ใช่รถสปอร์ตที่แรงที่สุด แต่ BMW i8 เป็นรถยนต์ที่หล่อที่สุด ณ เวลานี้อย่างแท้จริงครับ

บทความโดย:
อู๋ @spin9

ขอขอบคุณ:
BMW Thailand

Comments

comments