เผยโฉม BMW 8 Series คูเป้เยอรมันเหนือระดับด้วยพลังและเทคโนโลยี

เมื่อปี 1989 ซีรีส์ 8 รุ่นแรกได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก มันคือรถคูเป้รุ่นสูงสุด เคียงข้างซีรีส์ 7 ในฐานะเรือธงของค่าย มาพร้อมกับการออกแบบที่ล้ำหน้าเกินใคร ฉีกแนวทางของรถ BMW ในสมัยเดียวกันจนเหลือเอกลักษณ์ให้รู้ไม่กี่จุด ภายในหรูหราด้วยวัสดุชั้นดีและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสมฐานะ Grand Tourer เยอรมันชั้นนำ แต่พิษเศรษฐกิจและสงครามส่งผลให้ยอดขายเดินไม่ดีเท่าที่ควร BMW เลิกผลิตซีรีส์ 8 E31 ไปในปี 1999 ก่อนจะดันเอาซีรีส์ 6 ซึ่งเป็นคูเป้พิกัดรองลงมา ปัดฝุ่น แล้วนำเสนอเป็นโมเดลใหม่ในปี 2003 ซึ่งก็ได้กระแสตอบรับที่ดีพอประมาณจนอยู่มาได้ยืนยาวกว่าทศวรรษ ก่อนที่ BMW จะมาแนวใหม่ ปรับตำแหน่งแบรนด์เฉพาะรุ่นสูงๆ ให้ดูล้ำค่ายิ่งขึ้น มันเป็นเวลาที่ดูเหมาะสมกับการกลับมาของซีรีส์ 8

เมื่อปี 2017 ทีมออกแบบของ BMW ได้ลองหยั่งเสียงการตอบรับของประชาชนด้วยการเผยโฉมรถต้นแบบ BMW Concept 8 Series ซึ่งพวกเขาบอกว่า นี่คือมุมมองของ BMW ว่ารถสปอร์ตคูเป้แห่งทศวรรษต่อไปควรมีหน้าตาเป็นอย่างพร้อมทั้งกำชับว่า “เมื่อเวอร์ชั่นจริงออกมา มันจะไม่ต่างจากเวอร์ชั่นต้นแบบมากเท่าที่คุณคิดหรอก” ดูเหมือนว่าพวกเขารักษาสัญญาตามที่ให้ไว้

BMW ซีรีส์ 8 ใหม่ เป็นหนึ่งในแผนการ NUMBER ONE>NEXT Strategy ที่จะเป็นหนึ่งในด้านความหรูหรา การขับขี่และสมรรถนะมากกว่าที่คุณคาดหวังจาก DNA ของ BMW รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆที่ถูกใส่เข้าไปไม่ยั้ง โดยในขณะที่ซีรีส์ 7 ถูกสร้างมาเพื่อลูกค้าที่มองหารถซาลูนที่เพียบพร้อม และ i8 เป็นซูเปอร์คาร์แห่งยุคหน้าสำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ในเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ซีรีส์ 8 ก็เปรียบเสมือนทางเลือกที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 รุ่นที่ว่ามา ตอบโจทย์ลูกค้ารถสปอร์ตที่มองหาจรวดทางเรียบที่สามารถกลืนกินถนนเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงแบบไม่เครียดและมีของเล่นไฮเทคในระดับเทียบเท่าซีรีส์ 7 พร้อมรูปทรงที่สะกิดตาคนทุกเพศทุกวัยโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องหุ่นผอมบางร่างดีก็สามารถขึ้นลงจากรถได้ง่าย มีเนื้อที่เก็บสัมภาระใหญ่โต และเมื่อจำเป็นก็ยังสามารถพาเพื่อนร่วมทางไปบนเบาะหลังได้

และเพื่อรับประกันดีกรีความสะใจในการขับ BMW พัฒนาโครงการซีรีส์ 8 เวอร์ชั่นขายจริงปี 2018 นี้คู่ขนานไปกับ BMW M8 และ BMW M8 GTE ซึ่งเป็นรถแข่งประเภท Endurance และใช้ผลการวิจัยที่ได้จากมอเตอร์สปอร์ต ช่วยในการขัดเกลาให้ซีรีส์ 8 ใหม่มีการตอบสนองที่เฉียบคม สมกับที่ BMW กล้าใช้คำว่า Sport Coupe

ในช่วงแรกที่เปิดตัว ซีรีส์ 8 จะมีให้เลือก 2 รุ่น 2 เครื่องยนต์ ประกอบด้วย 840d xDrive ขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเทอร์โบ และ M850i xDrive เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร ทวินเทอร์โบเป็นรุ่นที่แรงที่สุด

Design: Not inspired by Mustang

การออกแบบด้านหน้าของตัวรถ แม้จะมีกลิ่นอายของ BMW รุ่นใหม่ๆอยู่เต็มเปี่ยมไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า Kidney Grill ขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ กันชนหน้าพร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อช่วยระบายความร้อน ซึ่งออกแบบให้มีมิตินูนลึกคล้ายกล้ามแขนของคนเหล็ก แต่ไฟหน้าของซีรีส์ 8 นั้น ถูกออกแบบให้มีขนาดเรียวเล็กจนทาง BMW บอกว่า นี่คือไฟหน้าที่เรียวที่สุดที่พวกเขาเคยทำใส่รถเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงของค่าย มีไฟหน้า BMW Laserlight เป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษ พร้อมระบบ Selective Beam ซึ่งสามารถปรับลำแสงหลบรถที่วิ่งสวนมาได้โดยอัตโนมัติและสามารถส่องเป็นระยะได้ไกลสุด 600 เมตร

ด้านข้างของตัวรถ เล่นมิติเป็นมัดกล้ามรับกับกันชนและฝากระโปรงหน้า กระจกหน้าลาดเอียง และมีแนวเสา C-pillar ที่ลาดในระดับเดียวกับซูเปอร์คาร์ชั้นนำ เพื่อให้ตัวรถดูเปรียวลม ดูเหมือนเป็นรถที่เตี้ยและเล็กทั้งที่ความจริงขนาดตัวของซีรีส์ 8 ไม่ได้เล็กอย่างในรูปเลยแม้แต่น้อย

ประตูของซีรีส์ 8 เป็นแบบไร้กรอบกระจก อันเป็นเอกลักษณ์ของรถคูเป้จาก BMW หลังคารถ มีการออกแบบให้มีมิตินูนคู่ (Double-bubble) ซึ่งให้ผลดีทั้งในแง่ความสวยงามและอากาศพลศาสตร์ แม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแต่ในเมื่อเรากำลังพูดถึงรถคูเป้ระดับเทพ ต้นทุนย่อมไม่สำคัญเท่าความพึงพอใจทางสายตาของลูกค้า

ด้านท้ายรถ มีส่วนที่เด่นคือไฟท้ายแนวนอนยาว เอกลักษณ์ของไฟท้ายรูปตัว L ณ บัดนี้เหลือเพียงติ่งเล็กๆที่ดวงไฟรอบนอกและการจัดวางเส้นนำแสงของไฟท้าย LED ที่ยังทำให้เหลือความเป็น L อยู่บ้างในยามค่ำคืน มันมีความคล้ายคลึงมากกับไฟท้ายของ X5 รุ่นใหม่ ซึ่งผมและชาว BMW บางคนมองว่ามันแหกประเพณีของ BMW มากไปสักนิด แต่ก็เข้าใจได้ว่าในโลกของการออกแบบนั้น จะไม่มีความก้าวหน้าใดๆเกิดขึ้นหากคุณยังยึดติดอยู่กับดีไซน์แบบเดิมๆ ที่สำคัญคือรถหลายรุ่นที่โด่งดังของ BMW ก็ไม่ได้มีไฟท้ายแบบตัว L

ซีรีส์ 8 ใหม่ มีความยาวตัวถัง 4,851 มิลลิเมตร กว้าง 1,902 มิลลิเมตร สูง 1,346 มิลลิเมตร ความยาวระยะฐานล้อ 2,822 มิลลิเมตร ระยะความกว้่างแทร็คล้อหน้า 1,627 มิลลิเมตร หลัง 1,642 มิลลิเมตร  ถังน้ำมันจุ 68 ลิตร และมีพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถจุได้ 420 ลิตร

840d เครื่องยนต์ดีเซล มีน้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,830 กิโลกรัม ตามมาตรฐาน DIN (1,905 กิโลกรัมตามมาตรฐาน EU) ความสูงจากจุดต่ำสุดของรถถึงพื้นถนน 121 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.29

M850i เครื่องยนต์เบนซิน มีน้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,890 กิโลกรัม ตามมาตรฐาน DIN (1,965 กิโลกรัมตามมาตรฐาน EU) ความสูงจากจุดต่ำสุดของรถถึงพื้นถนน 128 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.33

โครงสร้างตัวถังของซีรีส์ 8 นั้น เป็นแบบ Carbon Core มีการใช้วัสดุ CFRP ในการสร้างตัวถังส่วนอุโมงค์เกียร์ ส่วนหลังคา ฝากระโปรง ประตู และผนังห้องเครื่องยนต์จะใช้วัสดุอะลูมิเนียม มีการใช้เหล็กกล้าทนแรงบิดสูงและโลหะในส่วนอื่นๆเพื่อให้ได้ตัวถังที่ทนต่อการเข้าโค้งได้แรงโดยที่ตัวถังไม่มีการบิดตัว

Interior Design: Warm hug of motorsport legacy and gadgetry

ดีไซน์ภายในของซีรีส์ 8 เน้นความรู้สึกโอบรอบต่อเนื่องตั้งแต่ชุดคอนโซลถึงแผงประตู อุโมงค์กลางสูงแบบรถสปอร์ต ใช้หนัง Vernasca หุ้มตัวเบาะและภายใน รวมไปถึงแดชบอร์ดตอนบน (สามารถอัปเกรดเป็นหนัง Merino แล้วจ่ายเงินเพิ่มก็ได้) มีการตกแต่งเสริมโดยคัดเลือกวัสดุตามรุ่น อย่า 840d นั้นจะใช้วัสดุ Aluminium Mesh Effect Dark trim ตกแต่งบนแดชบอร์ดและแผงประตู ส่วนรุ่น M850i จะเป็นวัสดุลาย Stainless Steel Mesh

แน่นอนว่า BMW ยังมีสีสันของภายในให้ลูกค้าเลือกอีกหลายแบบ และถ้าใครไม่ถูกกับธาตุโลหะ (ไม่ชอบพวกวัสดุตกแต่งลายอะลูมิเนียม) จะสั่งเป็นวัสดุที่ดำเงา Piano Black หรือเป็นลายไม้เงาสีต่างๆ ก็สามารถทำได้

ชุดเครื่องเสียงติดรถของซีรีส์ 8 จะเป็นของ Harman Kardon แต่ถ้าใครรู้สึกว่าอยากฟังเสียง Surround ครบทุกมิติ ก็คงต้องไปคบกับออพชั่นเสริม Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System มาพร้อมกับแอมปลิฟายเออร์กำลังขับ 1,375 Watts และลำโพงในรถ 16 ตัว

ลูกเล่นอำนวยความสะดวกภายในมีพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง Multifunction ที่ออกแบบมาใหม่หมดเพื่อซีรีส์ 8 โดยเฉพาะ รวมถึงระบบควบคุม iDrive แบบใหม่และจอกลางขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งจากเดิมที่โชว์ข้อมูลแบ่งได้มากสุดเป็น 2 จอ ระบบในซีรีส์ 8 ใหม่นั้นจะสามารถแบ่งการแสดงผลบนจอออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งเจ้าของรถสามารถเลือกได้ว่าจะแสดงค่าอะไรและเอาไว้ตรงไหน โดยสามารถจัดแบบหน้าจอที่ต้องการเก็บเอาไว้ได้ถึง 10 แบบ

หน้าปัดของซีรีส์ 8 ใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่เรียกว่าหน้าปัดแบบ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งใช้เป็นครั้งแรกใน X5 ที่เพิ่งเผยโฉมไป หน้าปัดแบบนี้จะเป็นจอสีขนาด 12.3 นิ้ว ได้รับการจัดพื้นที่และการวางแนวมาตรวัดใหม่ โดยเฉพาะมาตรวัดรอบซึ่งจะเดินทิศสวนทางกับวัดรอบของรถปกติ การวางตำแหน่งแบบใหม่นี้ ทำให้เหลือพื้นที่ตรงกลางมากพอที่จะแสดงผลของระบบนำทางได้อย่างชัดเจนขึ้น

ถ้าใครคิดว่าหน้าปัด Live Cockpit มองยาก สู้หน้าปัดแบบเก่าไม่ได้ BMW เขาก็คิดเผื่อมาให้โดยการติดตั้งจอแสดงข้อมูลแบบฉายขึ้นบนกระจกหน้า (Head-Up Display-HUD) ซึ่งในซีรีส์ 8 นี้จะมีหน้าตาของข้อมูลและตัวเลขล้ำสมัยกว่า HUD ของ BMW ในยุคก่อน สามารถแสดงค่าความเร็ว การนำทาง สัญญาณไฟเตือนและข้อมูลอื่นๆในรูปแบบที่ดูง่ายโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และหากกดเลือกโหมดการตอบสนองของรถเป็นแบบ Sport หรือ Sport + ข้อมูลบน HUD ก็จะโชว์มาตรวัดรอบพร้อม Shift Indicator วาบไฟเพื่อชี้แนะจุดเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมได้อีกด้วย

คันเกียร์เป็นผลึกแก้วใส เวลากลางคืนจะมีดวงไฟเรืองแสงส่องผ่านตัวเลข “8” บนหัวเกียร์อย่างสวยงาม บริเวณรอบคันเกียร์ก็จะเป็นที่อยู่ของบรรดาสวิตช์ต่างๆ สิ่งที่แปลกแตกต่างจาก BMW รุ่นที่แล้วมาก็คือปุ่มสตาร์ทย้ายจากบริเวณแดชบอร์ดมาอยู่ตรงคันเกียร์ สวิตช์เลือกโหมด Driving Experience Control อยู่ในตำแหน่งที่คล้ายกับซีรีส์ 7 และมีโหมด Adaptive ซึ่งจะใช้สมองกลควบคุม ปรับไปมาระหว่างโหมดต่างๆเองโดยพิจารณาจากพฤติกรรมการขับและความเร็วที่ใช้

สำหรับระบบช่วยเหลือในการขับขี่นั้น ซีรีส์ 8 ทุกคันจะมีระบบ Cruise Control แบบมาตรฐานพร้อมระบบความปลอดภัย เตือนชนคนเดินถนน และระบบเบรกอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (City Braking) อย่างไรก็ตามลูกค้าสามารถเลือกสั่ง Adaptive Cruise Control with Stop & Go Function ซึ่งก็คือเรดาร์ครูสคอนโทรล ที่สามารถรักษาระยะห่างกับรถคันหน้า ลดความเร็วเมื่อมีรถช้ามาขวาง และเร่งความเร็วคืนกลับเมื่อรถคันที่ขวางเปลี่ยนเลนหลบไป ส่วน Stop & Go Function ก็ช่วยให้คุณสามารถเซ็ตความเร็ว Cruise Control จากนั้นให้สมองกลของรถควบคุมการเร่ง, รักษาความเร็ว และเบรกจนความเร็วเหลือศูนย์ได้ โดยเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ก็สามารถเร่งความเร็วตามคันหน้าไปได้โดยอัตโนมัติ แต่ตัวรถจะต้องจอดอยู่กับที่ได้ไม่เกิน 30 วินาที หากเกินกว่านั้น จะต้องกดปุ่ม/คันเร่งอีกครั้งเพื่อให้ระบบกลับมาทำงาน

นอกจากนี้ หากคุณต้องการสัมผัสเทคโนโลยี Autonomous Driving ก็ต้องยอมเสียเงินสั่งแพ็คเกจ Driving Assistant Professional ซึ่งเป็นการเอา Adaptive Cruise Control มารวมกับฟังก์ชั่นควบคุมการหมุนพวงมาลัย ซึ่งจะทำให้ซีรีส์ 8 ของคุณเร่งเอง เบรกเอง และเลี้ยวไปตามเลนเองได้

Engine Choices: One Diesel, One Petrol, both can kill

เครื่องยนต์ของตัวแรงอย่าง M850i xDrive จะใช้เครื่องยนต์ TwinPower Turbo V8 ติดตั้งเทอร์โบชาร์จแบบ Twin-scroll เอาไว้ 1 คู่ระหว่างแบงก์ฝาสูบ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection ความจุ 4,395 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 89.0 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 ให้แรงม้าสูงสุด 530 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,600 รอบต่อนาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ อัตราทดเกียร์ดังนี้

  • เกียร์ 1 – 5.500
  • เกียร์ 2 – 3.520
  • เกียร์ 3 – 2.200
  • เกียร์ 4 – 1.720
  • เกียร์ 5 – 1.317
  • เกียร์ 6 – 1.000
  • เกียร์ 7 – 0.823
  • เกียร์ 8 – 0.640
  • เกียร์ ถอยหลัง 3.993
  • อัตราทดเฟืองท้าย 2.813

ทั้งหมดนี้รวมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive BMW เคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง เชื่อว่าอีกหน่อยก็คงมีแพ็คเกจมีโปรฯน่ารักๆ ปลดล็อคให้วิ่ง 300 ได้ออกมา

นอกจากนี้ M850i ยังได้เฟืองท้ายแบบ Electronic Rear-Differential Lock ซึ่งสามารถควบคุมการหมุนของล้อหลังซ้ายและขวา ให้หมุนไปพร้อมกัน เป็นชุดคลัตช์อิเล็กทรอนิกส์ สั่งการโดยระบบเดียวกับที่คอยควบคุม DSC

ส่วน 840d xDrive นั้น ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเรียง TwinPower Turbo พร้อมเทอร์โบชาร์จแบบ Multistage ที่มีทั้งโข่งแรงดันสูงและต่ำพร้อมระบบ Variable Intake Geometry (ครีบแปรผัน) จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดคอมมอนเรลแรงดัน 2,500 บาร์ ความจุกระบอกสูบ 2,993 ซี.ซี. จากขนาดปากกระบอกสูบ x ช่วงชักเท่ากับ 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ให้แรงม้าสูงสุด 320 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตรตั้งแต่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic อัตราทดแต่ละเกียร์เท่ากันกับ M850i ต่างกันเพียงแค่อัตราทดเฟืองท้ายที่ลดลงเหลือ 2.647 เพื่อให้เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งใช้รอบต่ำกว่า

แม้ว่าจะเป็นรุ่นรองที่ทำมาเน้นพิสัยการวิ่งไกล ก็ยังสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนใครที่อยากท้ายเฟืองท้าย Electronic Rear Differential Lock แบบของ M850i ก็สามารถเสียเงินสั่งเพิ่มได้

Chassis & suspension: honed with everything BMW knows

ระบบบังคับเลี้ยวของซีรีส์ 8 ใหม่ เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS พร้อมระบบ Integral Active Steering ที่สามารถปรับอัตราทดพวงมาลัยได้ โดยอัตราทดตั้งต้นจะอยู่ที่ 16.3:1 แต่จะสามารถปรับให้เหมาะกับการขับขี่ เช่นที่ความเร็วต่ำ หมุนพวงมาลัยไม่เยอะ แต่รถเลี้ยวได้เยอะขึ้น ทำให้เข้าออกจากช่องจอด วิ่งสลาลอมเล่น (ถ้าตำรวจไม่จับ) หรือกลับรถตามจุดแคบๆได้คล่องตัว หากใช้ความเร็วสูงมากขึ้น สมองกลที่ควบคุมชุดพวงมาลัยจะเลือกโหมดพวงมาลัยที่ไวพอเหมาะ เพื่อให้ได้เสถียรภาพสูงสุดในยามหักหลบอุปสรรคต่างๆ ในขณะเดียวกันพวงมาลัยก็จะไม่ไวเกินจนทำให้เกิดความเครียดระหว่างเหาะไปบนเอาโต้บาห์นที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ซีรีส์ 8 ใหม่ทุกคันยังมาพร้อมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อ โดยที่ล้อคู่หลังจะสามารถกระดิกซ้ายขวาได้ 2.5 องศา ถ้าหากใช้ความเร็วไม่เกิน 72 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อหักพวงมาลัย ล้อคู่หลังจะหมุนสวนทิศกับล้อหน้า ทำให้รถตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้ไวขึ้นโดยทำงานประสานกันกับระบบ Integral Active Steering แต่ถ้าความเร็วเกิน 72 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อหักเลี้ยว ล้อหลังจะหันในทิศเดียวกับล้อหน้า (แต่หันแค่ไม่เกิน 2.5 องศา) ซึ่งช่วยให้เสถียรภาพและการถ่ายน้ำหนักระหว่างหักเลี้ยวเป็นไปอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน ด้านหลังเป็นแบบอิสระ Five-link พร้อมโช้คอัพแบบ M Adaptive Damper ซึ่งสามารถปรับความหนืดของโช้คอัพโดยแปรผันไปตามสภาพการขับขี่ ในรุ่น M850i มีออพชั่นพิเศษอย่าง Active roll stabilisation ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเหล็กกันโคลงที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งแรงผลักสวนทางเวลาช่วงล่างด้านใดด้านหนึ่งยุบตัวลง ทำหน้าที่เสริมประสานการทำงานของโช้คอัพ เพื่อช่วยให้ตัวรถมีเสถียรภาพที่ดีจากตัวถังที่ยวบโคลงน้อยลง แต่เมือวิ่งทางตรงจะตัดการทำงานของระบบ ปล่อยให้ช่วงล่างซ้ายและขวามีการขยับยุบและยึดแตกต่างกันได้ตามสภาพผิวถนน

ระบบเบรก ให้ชุดเบรก M Sport มาทั้งในรุ่น 840d และ M850i แต่มีสเป็คที่แตกต่างกัน โดยทั้งสองรุ่นจะได้คาลิเปอร์หน้าสีน้ำเงิน แบบ 4 Pot ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 1 Pot จานเบรกของ 840d จะมีขนาด 374 มิลลิเมตร แต่สามารถสั่งแพ็คเกจเบรก M-Technic แล้วจะได้ขยายเป็นขนาด 395 มิลลิเมตร ส่วน M850i จะได้ขนาด 395 มิลลิเมตรเป็นมาตรฐานจากโรงงาน

ล้อและยางของรุ่น 840d ในสเป็คมาตรฐาน ด้านหน้าจะเป็นขนาด 245/45R18 และด้านหลัง 275/40R18 ลูกค้าสามารถเลือกสั่งแพ็คเกจ M Sport ซึ่งจะขยายขนาดล้อเป็น 19 นิ้ว จับคู่กับยาง 245/40R19 และด้านหลัง 275/35R19 และถ้านั่นยังถือว่าแก้มยางหนาไป (สำหรับบางท่าน) ก็แนะนำให้เสียเงินให้สุดกับแพ็คเกจ M Technic Sport แล้วจะได้ยาง 245/35R20 กับ 275/30R20 พร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ส่วนรุ่น M850i นั้นจะได้ชุดแพ็ค M Technic Sport ล้อ 20 นิ้วมาจากโรงงาน

More Carbon makes more of a car

สำหรับเศรษฐีสาวก BMW ที่ต้องการให้ซีรีส์ 8 ของตัวเองมีภาพลักษณ์ดุดันยิ่งขึ้น ทาง BMW Individual ก็มีการนำเสนอ M Carbon Exterior Package ซึ่งประกอบด้วยการจังหน้า ซี่ช่องระบายอากาศกันชน กระจกส่องข้าง สปอยเลอร์หลังดิฟฟิวเซอร์หลังที่หุ้ม CFRP (คาร์บอนไฟเบอร์) สั่งติดตั้งแล้วจะดูเด่นเหมือนรถจากสำนักแต่งชั้นนำ แต่ที่จริงเป็นฝีมือโรงงาน

นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถสั่งหลังคา M Carbon Roof ที่ทำชิ้นหลังคาทั้งหมดด้วยวัสดุ CFRP เหมือนกับตัวแรงของ BMW ทั้งหลาย นอกจากไม่เหมือนใครแล้ว วิศวกร BMW ยังบอกด้วยว่าการทำให้หลังคามีน้ำหนักเบาลงก็ยังช่วยให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงเป็นผลพลอยได้

สรุปรายละเอียดเบื้องต้น

ซีรีส์ 8 ใหม่คือการกลับมาเติมเต็มตลาดรถสปอร์ตแบบ Grand Tourer ระดับสูงสุดของค่ายซึ่งหายไปตั้งแต่ซีรีส์ 8 เจนเนอเรชั่นแรกเลิกผลิตไปในปี 1999 โดยนำเสนอในแนวทางที่คล้ายกันแต่มีความล้ำสมัยแปรผันไปตามยุค ซีรีส์ 8 คือยานยนต์ที่รวมเอาความสวยงามโดดเด่นแบบรถสปอร์ต รวมเข้ากับเทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบขับเคลื่อนแบบซีรีส์ 7 ส่วนผสมที่ได้ออกมาคือรถที่ทั้งแรง ขับสนุก สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันรวมถึงการเดินทางข้ามประเทศด้วยความเร็วสูง

ในเบื้องต้น รถซีรีส์ 8 ทุกคันจะถูกผลิตจากโรงงาน Dingolfing เช่นเดียวกับซีรีส์ 7 มีกำหนดขายจริงในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 ประเดิมก่อนด้วยรุ่น 840d xDrive ดีเซล 320 แรงม้า และ M850i xDrive เบนซิน V8 530 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์อื่นๆ ทั้งแบบที่ประหยัดกว่าและแบบที่แรงกว่า น่าจะทยอยตามออกมาภายในครึ่งปีหลังการเปิดตัวรถ 2 รุ่นแรก

ดีไซน์ของตัวรถ บางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะรูปลักษณ์ด้านข้างดูไปคล้ายกับรถพันธุ์แรงของอเมริกันบางรุ่น รวมถึงท้ายรถที่ออกจะดูแปลกประหลาดไม่เหมือน BMW รุ่นใดๆก่อนหน้านี้ แต่นี่คือส่วนหนึ่งของ BMW ในการพยายามนำเสนอเส้นสายที่แหวกแนวแบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมมองว่า ถ้าซีรีส์ 8 ดูเหมือนซีรีส์ 6 ก็คงจะไม่เข้าท่าเท่าไหร่ในเมื่อซีรีส์ 8 มีศักดิ์เป็นถึง Elite Model นั่งบัลลังก์ระดับสูงสุดของ BMW หรือถ้าจะให้ยึดเส้นสายหลังคาแบบเดิมที่เราเห็นมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ก็คงไม่มีอะไรใหม่ๆให้ตื่นเต้นนอกจากมาลุ้นว่าวันหน้ากระจังไตคู่จะคว่ำหรือหงาย

และอย่างที่ทุกคนทราบ มีเพียงสิ่งเดียวที่ BMW ยังรักษาไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นรถชั้นสูงที่ใครได้ขึ้นขับแล้วก็จะอยากขับต่อไปอีกเรื่อยๆ ส่วนในวิศวกรรมด้านอื่นๆ พวกเขามีชื่อเสียงวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะการปฏิบัติตัวเองในแบบเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มันคือความกล้าที่จะออกจากกรอบเดิมๆในด้านวิศวกรรมไม่ใช่หรือครับ ที่ทำให้ BMW เป็นรถที่ไม่เหมือนใคร


The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments