เจาะอดีตรถเด่น BMW M5 E34: สปอร์ตซาลูนจากปลายยุค 80s

M5 ได้ชื่อว่าเป็นสปอร์ตซาลูนที่ให้ความสนุกในการขับขี่ ผสานเข้ากับบุคลิกของรถที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่แต่งตัวรกเลอะเทอะจนโอเวอร์ แต่ก็มีจุดเด่นที่ทำให้เรารู้ได้ว่านี่คือซีรีส์ 5 ที่เป็นผลงานของ BMW Motorsport (BMW M) ในบรรดา M5 ทั้งหมด หลายท่านอาจหลงใหลในความหล่อเหลาของ M5 E39 หรือชอบเสียงเครื่องยนต์ที่แผดปานฟ้าร้องแบบ V10 ของ M5 E60 แต่พอเป็น M5 E34 กลับไม่ค่อยมีใครพูดถึงทั้งๆที่มันคือหนึ่งในซาลูนเท้าไฟที่แรงอันดับต้นๆของยุค ก่อนที่โลกจะมี Mercedes-Benz 500E หรือ Lotus Carlton เสียด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเรื่องที่ดูจะไม่แฟร์เท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลในดีไซน์ของซีรีส์ 5 บอดี้ E34 แบบผม ซึ่งดูสวยงามเหมือนสาววัย 30 ต้นๆที่มีความสง่า แต่ยังมีความเซ็กซี่และกลิ่นเฉพาะตัวที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้นจะรับรู้ได้ มันดูดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว และแม้จะมองมันด้วยความคิดของเราในปัจจุบัน E34 เปรียบได้กับสะพานเชื่อมระหว่างยุคตัวถังคลาสสิคอย่าง E24 และ E28 กับยุคคอมพิวเตอร์อย่าง E39 ดู..จงดู..ไฟหน้ากลมคู่นั้นที่ยังไม่ถูกปิดทับด้วยพลาสติกแข็ง..จงดู..ดีไซน์กระจกประตูหลังที่มีส่วนล่างวกกลับมาด้านหน้า (Hoffmeister Kink) อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นใหม่ๆ มันคือผลงานที่เอาความชอบของคนยุค 70s และ 80s มาขัดเกลาด้วยหลักอากาศพลศาสตร์อันเป็นจุดเริ่มต้นการออกแบบของรถใหม่ๆนั่นเอง

แล้วเมื่อคุณมีรถที่ทรวดทรงแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่าการนำเครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบ สร้าง และปรับแต่งโดยทีมงานที่มีความชำนาญด้านมอเตอร์สปอร์ตมาวาง? นั่นคือสิ่งที่ทาง BMW Motorsport ทำกับ M5 E28 รุ่นแรก แต่ความแตกต่างระหว่าง M5 รุ่นแรก และรุ่นที่สองอยู่ตรงที่ E28 นั้นถูกนำมาวางเครื่อง M88 ในภายหลังเพื่อสร้างสปอร์ตซาลูนออกมา แต่ M5 E34 นั้น ถูกคิดและวางโปรเจคท์การพัฒนาเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

การมาของ M5 E28 ช็อควงการนักเลงรถในช่วงกลางยุค 80s เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนอยากซื้อรถซีดานบ้านๆขนาดกลางที่เอาเครื่องยนต์สมรรถนะสูงมาใส่ อันที่จริงต้องขอบคุณ Mercedes-Benz ที่ทำ 190E 2.3-16 187 แรงม้าออกมาในปี 1983 ซึ่งทำให้นักเลงรถรุ่นลุงของเราซู้ดปากไปตามๆกัน BMW ก็มองว่า ถ้า Benz สามารถจับเครื่องยนต์ Cosworth มาใส่ซาลูนเบบี้เบนซ์แล้วขายได้ ทำไม BMW จะทำตามบ้างไม่ได้ แถมพอทำคืนเขาทีก็เล่นเสียเจ็บ ส่งมาทั้ง M3 E30 ตอบโจทย์นักเลงรถเล็ก และ M5 E28 286 แรงม้าไว้เอาใจสิงห์เอาโต้บาห์น

และนั่น..ก็ทำให้ค่ายยุโรปหลายเจ้าเริ่มหาวิธีโต้คืน..คนเรานั้นถ้าเคยไปต่อยใครไว้ เจอหน้ากันครั้งต่อไปก็ต้องเตรียมตัวรับมือ BMW ก็เช่นกัน นี่คือสาเหตุที่พวกเขาเริ่มพัฒนา M5 E34 ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการกันเลย

ดังนั้น หลังจากที่ E34 เวอร์ชั่นปกติ (520i/525i/535i) เริ่มขายจริงไปได้เพียงไม่กี่เดือน BMW ก็เผยโฉม M5 E34 ในเดือนสิงหาคม 1988 และเริ่มผลิตจริงในเดือนถัดมา

การสร้าง M5 ขึ้นมาคันหนึ่ง จะมีความซับซ้อนมากกว่า E34 รุ่นปกติ เพราะ BMW จะให้โรงงานที่ Dingolfing ขึ้นโครงตัวถังหลัก ประกอบส่วนต่างๆของบอดี้เข้าไปก่อน จากนั้นรถที่ยังไม่สะเด็ดน้ำเหล่านี้จะถูกขนส่งไปยัง Workshop ของ BMW Motorsport GmbH ในเมือง Garching ซึ่ง ณ ที่แห่งนั้น วิศวกรจะติดตั้งเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่างและเบรก รวมถึงประกอบส่วนตกแต่งภายในเพิ่มเติม ขั้นตอนช่วงหลังทั้งหมดนี้ทำด้วยมือของช่าง 1 คนหรือ 1 ทีมเล็กต่อรถ 1 คัน ทำให้ในบางครั้งต้องใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์กว่าจะประกอบ M5 E34 สำเร็จสักคัน

ดีไซน์ เรียบจนเกือบไม่รู้ว่าแรง

พูดถึงเรื่องรูปโฉมของ M5 ต้องบอกไว้ก่อนว่า “จงให้อภัยวัยรุ่นเหล่านั้นเถอะ ถ้าพวกเขาแยกไม่ออกว่าคุณกำลังขับ M5 หรือ 535i” นี่ไม่ได้พูดเกินเลยความจริง เพราะถ้าวิ่งผ่านแบบปุบปับ คุณแทบจะไม่มีอะไรให้สังเกตเมื่อเทียบกับรถซีรีส์ 5 ทั่วไป ลิ้นหน้า สเกิร์ตข้าง และหลังถูกทำเป็นสีดำ และมีขนาดเล็กจนสังเกตได้ยาก อยู่แค่สองจุดที่พอจะทำให้คุณรู้ได้..นั่นก็คือโลโก้ M5 กับแถบ Tricolor ที่กระจังหน้าและฝากระโปรงท้าย กับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วลายพิลึกราวฝาครอบล้อที่แขวนขายตามข้างทางต่างจังหวัด (ขออภัยในความหยาบครับ)

อันที่จริง ที่หน้าตามันพิลึกแบบนั้น ก็เพราะล้ออัลลอย “M System wheel” นั้นออกแบบมาด้วยหัวใจของมอเตอร์สปอร์ต ตัวล้อจริงจะเป็นลายห้าก้านซึ่งหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่ (ลองค้นคำว่า M System wheel ใน Google ดู) ก้านบางโปร่ง จากนั้นก็ปิดทับด้วยฝาครอบทำจากแม็กนีเซียม เป็นลายกังหันถี่ ซึ่งไม่ได้มีไว้แค่เอาเท่ห์ เพราะมันมีหน้าที่ช่วยดักเอาอากาศรอบล้อมาเป่าระบายความร้อนให้จานเบรกนั่นเอง

ถ้าเปลี่ยนล้อนี้ออก เอาลายปกติมาใส่ ถอดโลโก้ M5 ออก..รับรองว่าไม่มีใครรู้หรอกว่านี่ M5 หรือ 520i

ส่วนภายในก็มาในธีมเงาะแรงซ่อนรูปเหมือนกับภายนอก แดชบอร์ดและวัสดุภายในห้องโดยสาร ยกมาจากE34 รุ่นปกติเกือบทั้งหมด แต่จุดที่เพิ่มเข้ามาเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบของรถได้แก่

  • พวงมาลัย M Technic 3 ก้าน (ยังไม่มีถุงลมนิรภัย)
  • หัวเกียร์คาดเลย Tricolor ของ M มีไฟส่องสว่างเรืองแสงจากในหัวเกียร์ยามกลางคืน
  • เบาะนั่งแบบสปอร์ต ซึ่งมีปีกข้างขนาดโตกว่า และส่วนรองใต้น่องยื่นออกมารองรับมากกว่าเบาะปกติของ E34
  • หน้าปัดพิเศษเฉพาะรุ่นของ M5 มีโลโก้ M อยู่ตรงกลาง มาตรวัดความเร็วสุดที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาตรวัดรอบเรดไลน์ที่ 7,000 รอบต่อนาที เกจ์วัดอัตราสิ้นเปลืองที่ใต้วัดรอบถูกแทนที่ด้วยมาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง

นอกเหนือจากนี้ไป M5 ก็เหมือนกับ E34 ทั่วไปซึงมีพื้นฐานการออกแบบดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะตัวแดชบอร์ดที่หันเข้าหาคนขับ สวิตช์ปุ่มกดต่างๆอยู่ในตำแหน่งที่เอื้อมถึงได้ง่าย เอานิ้วคลำๆก็พอรู้ว่าจะเจออะไร ไม่เหมือนรถสมัยใหม่ที่ทุกอย่างจะเป็นทัชสกรีนไปเสียหมด ช่องแอร์ซ้ายและและขวาสุด ย้ายไปอยู่บนแผงประตู เป็นจุดเด่นประจำรุ่นอีกอย่างที่ส่งผลให้บรรยากาศในห้องโดยสารดูโอบรอบเหมือนค็อกพิทเครื่องบินขับไล่มากกว่าเลานจ์อังกฤษหรือบาร์อเมริกัน

พลัง สืบทอด DNA มอเตอร์สปอร์ต

สิ่งที่ตาคุณเห็นจากภายนอกและภายในที่ดูจืดๆ ช่างขัดกับหัวใจของรถเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับเอาคอมมานโดมาใส่ชุดพ่อครัว เพราะนี่คือเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงที่สืบทอดโดยตรงจากสายพันธุ์มอเตอร์สปอร์ต รหัส S38B36 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เสื้อสูบเหล็ก ฝาสูบอัลลอย ทวินแคม 24 วาล์ว เหมือนกับเครื่อง M88 ที่อยู่ใน M1 และ M5 E28 ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาของเครื่องบล็อคนี้

BMW Motorsport เปลี่ยนข้อเหวี่ยงเหล็กฟอร์จชิ้นใหม่เพื่อเพิ่มช่วงชักกระบอกสูบอีก 2 มิลลิเมตร จากนั้นก็เปลี่ยนแคมชาฟท์ใหม่ เพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจาก 9.8 เป็น 10:1 ติดตั้งท่อไอดีแบบแปรผันความยาวเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ ลิ้นคันเร่งแบบ 6 ลิ้น และส่งไอเสียออกผ่านเฮดเดอร์สแตนเลสแบบ Equal-length หน้าตาคดเคี้ยวชนิดที่คนรู้เรื่องรถแค่งูๆปลาๆก็มองออกว่าไม่เหมือนรถโรงงานทั่วไป ท้ายสุด ระบบควบคุมการจุดระเบิดและจ่ายน้ำมัน เป็นของ Bosch Motronic M1.2

ทั้งหมดนี้ ทำให้ S38B36 มีพละกำลังสูงถึง 315 แรงม้า (PS) ที่ 6,900 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตรที่ 4,750 รอบต่อนาที ซึ่งอาจจะดูเหมือนไม่มากนักถ้ามองด้วยสายตาของคนยุคนี้ ที่ 520d ธรรมดาๆก็มี 190 แรงม้าแล้ว แต่ในปี 1988 นั้นซูเปอร์คาร์ตัวพ่ออย่าง Ferrari F40 ก็มี 478 แรงม้า และรถบนท้องถนนทั่วไป มีม้าเกิน 130 ตัวก็ถือว่าโก้แล้ว ความรู้สึกของคนที่ยืนอ่านโบรชัวร์และสเป็คของ M5 E34 เมื่อ 30 ปีก่อน ก็เหมือนกับที่เรารู้สึกกับ M5 600 แรงม้าของทุกวันนี้ล่ะครับ

เรื่องแปลกอย่างหนึ่งก็คือ เราจะเห็น BMW ประชาสัมพันธ์ว่า M5 ใช้เครื่อง “3.6 ลิตร” แม้แต่รหัสเครื่อง S38B36 ก็ชวนให้เข้าใจแบบนั้น แต่อันที่จริง มันมีความจุ 3,535 ซี.ซี. ซึ่งจะต้องนับปัดตามหลักคณิตศาสตร์เป็น 3.5 ลิตร แต่ BMW ให้ข้อมูลสื่อมวลชนว่าเป็น 3.6 ลิตร เพราะไม่อยากให้คนนึกว่า M5 E34 ใช้เครื่องยนต์ที่มีพื้นฐานเดียวกับ M30B35 ของ 535i ที่มีความจุ 3.5 ลิตรนั่นเอง (และในขณะเดียวกัน M30B35 ใน 535i ก็มีความจุจริง 3,430 ซี.ซี. ซึ่งต้องนับเป็น 3.4 ลิตรต่างหาก แต่จะให้ตั้งชื่อว่า 534i คงดูไม่เก๋กระมัง)

ระบบส่งกำลัง ไม่ต้องเรียกหาเกียร์อัตโนมัติเพราะไม่มีให้เลือก ทางเลือกเดียวที่มี ก็คือเกียร์ 5 จังหวะ Getrag 280/5 ซึ่งก็ยกมาจาก M5 E28 รวมถึงเฟืองท้าย 3.91 ที่ยกมาจาก M5 E28 รุ่นที่มีเครื่องกรองไอเสียด้วยเช่นกัน แต่ใน M5 E34 จะมีกลไกลิมิเต็ดสลิป ตั้งจับไว้ 25% เรียกได้ว่าช่วยให้เล่นโค้งมันส์ขึ้น แต่ยังไม่จับหนักจนส่งผลกระทบต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวัน

ส่วนช่วงล่าง ระบบบังคับเลี้ยว และระบบเบรก ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้รองรับกับพลังที่เพิ่มขึ้นจาก 535i กว่า 100 แรงม้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • สปริงสปอร์ต เตี้ยลงกว่ารุ่นปกติ 20 มิลลิเมตร
  • โช้คอัพแบบสปอร์ต พร้อมระบบ Self-leveling ที่ด้านหลัง ปรับท้ายรถให้สูงขึ้นชดเชยกับน้ำหนักบรรทุกโดยอัตโนมัติ
  • พวงมาลัยแบบลูกปืนหมุนวนเหมือนกับ E34 รุ่นปกติ แต่ปรับอัตราทดให้ไวขึ้นจาก 16.2:1 เป็น 15.6:1
  • เปลี่ยนเหล็กกันโคลงหน้าและหลังให้มีขนาดโตขึ้น จาก 23/15 มิลลิเมตร เป็น 25/18 มิลลิเมตร
  • ระบบเบรก จานเบรก และคาลิเปอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น

หลังจากการปรับแต่งทั้งหมด บวกกับพลังเครื่องยนต์ที่มี M5 E34 3.6 รุ่นแรก สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อมาได้มีสื่อมวลชนนำไปทดสอบแบบอิสระ และได้ค่าตัวเลขที่แตกต่างกันไป Road & Track ทดสอบควอเตอร์ไมล์ได้ 14.3 วินาที ส่วน Wheels ของออสเตรเลียได้ 15.0 วินาที

ถ้าฟังดูไม่เร็วพอ อย่าลืมนะครับ ว่านั่นคือปี 1988

เมื่อ 315 ม้า ยังไม่พอปราบ 500E ก็ต้อง..

ในช่วงข้ามทศวรรษ ปี 89-90 นั้นมีข่าวหนาหูว่า Mercedes-Benz จะสร้าง E-Class W124 เครื่อง V8 มาดับความ Hot ของ M5 E34 ดังนั้นจึงต้องมีการรับน้องสไตล์เยอรมัน ด้วยการอัปเดตขุมพลัง 6 สูบเรียงเพิ่มเติม กลายเป็น M5 E34 เวอร์ชั่น 3.8 ลิตร ซึ่งเริ่มผลิตในเดือนพฤศจิกายน ปี 1991

เมื่อ 500E เหยียบบนพื้นโลกด้วยเครื่องยนต์ M119 5.0 ลิตร 326 แรงม้า BMW ก็ตั้งใจจะเล่นสงครามนางม้าเช่นกัน พวกเขานำเครื่องยนต์ S38B36 เดิม มายืดช่วงชักกระบอกสูบจาก 86 เป็น 90 มิลลิเมตร ใช้ลูกสูบที่เพิ่มกำลังอัดจาก 10 เป็น 10.5:1 แล้วก็ปรับปรุงรายละเอียดในฝาสูบ เช่นเปลี่ยนวาล์วไอดี/ไอเสียให้มีขนาดโตขึ้น เปลี่ยนช่องในลิ้นคันเร่งแต่ละช่อง จากเดิม 46 มิลลิเมตรเป็น 50 มิลลิเมตร เฮดเดอร์ทรงคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนวัสดุจากสแตนเลสเป็น Inconel เปลี่ยนคอยล์จุดระเบิดเป็นแบบสูบใครสูบมัน 6 ตัว และเปลี่ยนระบบคุมเครื่องเป็น Bosch Motronic M3.3

ทั้งหมดนี้ ทำให้ได้แรงม้าเพิ่มเป็น 340 แรงม้าที่ 6,900 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 400 นิวตันเมตรที่ 4,750 รอบต่อนาที แรงบิดอาจจะสู้ตัวเลข 470 นิวตันของ 500E ไม่ได้ แต่ M5 เอาม้า 340 ตัว กับการที่เป็นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะมาเป็นจุดขายเกทับได้เช่นกัน

BMW เคลมว่าอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลดลงมาเหลือ 5.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คงไว้เท่าเดิม การทดสอบของสื่อมวลชนบางรายก็บอกว่าไม่ได้เร็วขึ้น แต่หลายแห่งยืนยันว่าการตอบสนองต่อคันเร่งดีขึ้นและทำอัตราเร่งได้ไวขึ้นจริง ซึ่งก็ไม่เลวสำหรับรถซาลูนที่หนัก 1.67 ตัน

ในช่วงหลังจากเปิดตัวมาได้สักพักนี้ BMW เริ่มทยอยนำถุงลมนิรภัยคนขับมาให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสียเงินเพิ่ม แต่คุณคงสามารถเห็นได้จากในรูปข้างบนนี้ว่าหน้าตามันไม่โสภาเท่าไหร่ บางทีถ้ายอมโดนชนแล้วพวงมาลัยดีดนมตายอาจจะยังดีและน่ายอมแลกกับการได้จับพวงมาลัย 3 ก้านที่สวยกว่านี้

แรงแบบครอบครัว สุดตัวสไตล์ M

และถ้าคุณคิดว่า M5 E34 ตัวซาลูนยังไม่เข้าธีมคอมมานโดในชุดพ่อครัวพอ..ลองเจอนี่เลยดีกว่า M5 Touring มือปืนในคราบของคุณลุงผู้รักครอบครัวดุจหัวใจ BMW โชว์โฉมพร้อมกับ M5 3.8 ซาลูนที่ Frankfurt Motorshow ปลายปี 1991 และเริ่มขายรถรุ่นนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 1992 โดยหวังจะให้มันเป็นหนึ่งในรถสเตชั่นแวก้อนที่เร็วและบ้าดีเดือดที่สุดเท่าที่ยุค 90s ตอนต้นจะให้ได้ M5 Touring ทุกคันจะได้เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 340 แรงม้า และมีแต่เกียร์ธรรมดาเหมือนกับรุ่นซาลูน ให้ประสิทธิภาพและอัตราเร่งที่ใกล้เคียงกัน แต่บรรทุกได้มากกว่า

และเชื่อว่าถ้าใครมีไว้ในครอบครอง..ก็จะได้ราคาขายต่อที่ดีงามด้วย เพราะในบรรดา M5 12,254 คันทั้งหมดที่ผลิตไปนั้น มีรถที่เป็นบอดี้ Touring เพียงแค่ 891 คันเท่านั้น นั่นทำให้มันกลายเป็นรถหายากรุ่นหนึ่งของโลก (Ferrari F40 ที่เป็นรถเทพสุดของค่ายม้าลำพองยุคนั้นยังผลิตออกมา 1,311 คัน)

ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปี 1992 และ 1993 นั้น M5 ยังมีการอัปเดตอุปกรณ์บางอย่าง (ซึ่งผมไม่สามารถระบุเดือนที่แน่นอนได้ว่าเริ่มเมื่อไหร่) อย่างแรกก็คือล้ออัลลอย M System ลายพิลึกนั้น ถูกแทนที่ด้วยล้อลาย M System II ซึ่งจริงๆมันก็คือล้อวงเดิมนั้นแหละ แต่เปลี่ยนฝาที่ครอบปิดให้ดูเก๋ไก๋ขึ้น เป็นลายห้าแฉกที่ยังออกแบบให้มีความสามารถในการช่วยระบายความร้อนระบบเบรกได้เหมือนเดิม

อย่างที่สองก็คือกระจกมองข้าง เช่นเดียวกับ E34 รุ่นปกติและรถในเมืองไทย ที่เริ่มทยอยเปลี่ยนกระจกมองข้างจากแบบก้านหนา เป็นแบบก้านเล็กเรียวที่ดูลู่ลมขึ้น แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคใดๆเพิ่มเติม

THE SWANSONG

ต้องรอจนถึงเดือนพฤษภาคมปี 1994 เมื่อซีรีส์ 5 E34 มีการไมเนอร์เชนจ์กระจังหน้าเป็นแบบไตคู่ขนาดใหญ่ (หรือที่บ้านเราเรียกว่าโฉม Big nose) M5 ก็เลยต้องปรับตามด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากการเปลี่ยนหน้ารถแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนอีกอย่างคือล้ออัลลอยลาย M Parallel 5 ก้านคู่ที่ดูทันสมัยใหญ่เต็มซุ้มขึ้น พวงมาลัยแบบมีถุงลมนิรภัยถูกเปลี่ยนจากดีไซน์หนาเตอะเป็นทรงสปอร์ต 3 ก้าน (อาจเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้แล้ว)

ในด้านกลไกต่างๆ ก็ยังคงใช้พื้นฐานจาก M5 3.8 เดิม แต่ส่วนที่เจ๋งคือการเปลี่ยนเกียร์จาก 5 จังหวะลูกเดิม มาเป็นเกียร์ Getrag 420G 6 จังหวะ

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนก็ไม่ใช่อะไร ในช่วงปี 1992-1993 BMW นำเครื่องยนต์ V8 M60 มาติดตั้งใน E34 และ 540i รุ่นเกียร์ธรรมดา 286 แรงม้าก็มีเกียร์ 6 จังหวะ แล้ว M5 นี่เป็นบอสใหญ่ของอนุกรม จะให้ดักดานใช้เกียร์ 5 จังหวะอยู่ก็คงไม่สะใจนักเลงรถ เกียร์ 420G ลูกนี้ที่ M5 ใช้ ก็ยกมาจาก 540i นั่นล่ะครับ

ลองของจริง พลัง S38 ประสบการณ์ตรง

ก่อนอื่นผมต้องขออภัยพี่เจ้าของรถที่ไม่ได้เรียกรถของพี่ว่า M5 นะครับ เพราะขนาดป้ายท้ายรถพี่ยังเล่นแปะ 535i และเลาะโลโก้ M ออกหมด แบบนี้ชาวบ้านก็โดนหลอกหมดสิครับ

ผมได้มีโอกาสลองรถคันนี้โดยบังเอิญ..หรือจะเรียกว่าเป็นโชคดีระดับทองก็ว่าได้ เพราะเพื่อนของผมที่เป็นจูนเนอร์ กำลังเตรียมรถคันนี้ (ซึ่งติดตั้งกล่องจูน Unichip) และต้องการให้ผมช่วยลองขับทดสอบความเรียบร้อยในการทำงานของเครื่องยนต์ ผมเป็นใครเหรอจะปฏิเสธเรื่องอย่างนี้? และแม้ว่าอันที่จริงรถคันนี้จะเป็น 525i ธรรมดามาก่อน แต่องค์ประกอบหลายอย่างถูกบรรจงใส่เข้าไปด้วยความรักของพี่เจ้าของรถ มันมีเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรจากเวอร์ชั่นแรก เกียร์ 6 จังหวะจากรุ่นท้ายสุด ส่วนองค์ประกอบอื่นๆนอกจากเบาะ ยกมาจาก M5 คันจริงทั้งหมด

ถ้าคุณคิดว่าพลัง 315 แรงม้า (ซึ่งเป็นม้าลงพื้นจริงหลังเพื่อนผมจูนเสร็จ) จะถีบตัวออกอย่างดุเดือดราวเสือดาวกระโจน (ขอเป็นเสือดาวดีกว่า เป็นเสือดำเดี๋ยวมีปัญหา) เร่งอย่างพลุ่งพล่านแบบ BMW เครื่องยนต์เทอร์โบสมัยใหม่ล่ะก็..Sorry, but that isn’t what it is.

มันไม่ได้ดึงแรงหลังติดเบาะอย่างที่คาด ตัดข้อกังขาเรื่องสภาพเครื่องยนต์ได้นะครับเพราะเช็คมาแล้วว่าสมบูรณ์ เกียร์ 1 กับ 2 ไปในอารมณ์เดียวกับที่คุณคาดหวังจากรถสมัยใหม่ที่มีม้า 250-260 ตัว ที่รอบต่ำมันก็ไม่ได้อืด..แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แรง ในขณะที่ BMW Turbo รุ่นใหม่ๆ 4 สูบมีแรงดึงหลังติดเบาะตั้งแต่ 2,000 รอบต่อนาที เครื่อง S38 นี้จะมาแบบเรื่อยๆเป็นธรรมชาติ จนกว่าจะถึง 4,500 รอบ ที่ซึ่งมันแสดงความเกรี้ยวกราดเต็มขั้นของมัน..แต่นั่นก็ยังมาในสไตล์ของผู้ดีมีเชิง มากกว่าความบ้าเลือด

แต่เมื่อเริ่มเข้าเกียร์ 4 และ 5 สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งคือพละกำลังของมันดูเหมือนจะไม่ตกเลย ไหลมาเทมา ไหลได้ไหลดี ยิ่งถ้ายอมลากรอบให้แตะ 7,000 (แต่ไม่ต้องถึงจุดตัดที่ 7,250) เสียงเครื่องยนต์ 6 สูบ 6 ลิ้น จากโลกมอเตอร์สปอร์ตจะหวานหูยิ่งกว่าทุกเสียงของเครื่อง 4 สูบ TwinPower ทั้งหลาย มันคือโทนเสียงที่สื่อได้ว่าวิศวกรที่สร้างเครื่องมา เขาตั้งใจทำมันขนาดไหนกว่าจะได้ออกมาเป็นแบบนี้

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก ควอเตอร์ไมล์เหรอ? ผมเดาว่า 330e Iconic อาจจะจี้ท้าย M5 E34 เข้าเส้นหรือไม่ก็วิ่งนำหัวไปเลยได้ด้วยซ้ำ แต่ความน่าหลงใหลมันอยู่ที่หลังจากนั้นไปต่างหาก โลกของ M5 เริ่มต้นที่หลังเส้น 402 เมตร ที่ซึ่งพละกำลังดูจะมาอย่างต่อเนื่องจน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาเยือนคุณในแบบที่เร็วและน่ารื่นรมย์ไปพร้อมๆกัน

ระบบบังคับเลี้ยว ให้อารมณ์ที่คล้าย E34 ทั่วไป แต่มีความหนักหน่วงมือจากขนาดยางที่ใส่ และมีความไวจากอัตราทดที่เปลี่ยนไปพอให้รู้สึกได้ สำหรับพวงมาลัยรถยุคเก่า มันให้ความแม่นยำและขับสนุกมาก ความเบาความหนักแปรผันไปตามสภาพการยึดเกาะของยางหน้า ผมว่ามันซื่อสัตย์เหมือนคนขวานผ่าซาก ต่างจากพวงมาลัยไฟฟ้าของ BMW ยุคใหม่บางรุ่นที่อ้ำๆอึ้งๆ จะบอกอะไรก็อายเหมือนผู้ชายจีบหญิงไม่เป็น แถมบางทีหมุนแล้วกดคันเร่งก็ไม่มีแรงดีดกลับซะงั้น

เมื่อรวมพวงมาลัย กับช่วงล่างที่ปรับแต่งมาพอสมควร M5 คันนี้เข้าโค้งได้นิ่งและเนียนในระดับที่รถใหม่ๆหลายคันทำไม่ได้ เครื่องยนต์ S38 ที่ไม่มีเทอร์โบ เวลาอยู่ในโค้งและให้รอบเครื่องหมุนป้วนเปี้ยนแถว 4,000 รอบนั้น คุมพละกำลังด้วยเท้าขวาได้ง่ายมาก กดเท่าไหร่ได้เท่านั้น ไม่มีอาการกระชากแบบโอเวอร์ๆด้วยโหมดสปอร์ตหรือโคตรสปอร์ตแบบรถสมัยใหม่

ผมเริ่มสนุกจนเข้าโค้งเร็วขึ้น จนเพื่อนเตือนว่า “เอ็งแน่ใจนะว่ามันได้?” ผมแน่ใจว่า M5 ผ่านโค้งต่อไปด้วยความเร็วระดับนั้นได้สบายมาก แต่ด้วยความที่เราขับรถที่ไม่ใช่ของเรา ก็ต้องเกรงใจเจ้าของบ้าง

ปัจจุบัน รถคันนี้ยังอยู่ในความครอบครองของพี่เจ้าของรถคนเดิม ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งออก 530i M Sport G30 มาใหม่หนึ่งคัน แต่เขาก็ยังจะคว้ากุญแจ E34 คันนั้นทุกเมื่อถ้ามีโอกาส เขามักเล่าให้เพื่อนผมฟังว่าเหมือนกับร่างกายมันเป็นส่วนหนึ่งของรถไปแล้ว มันจะขาดจากกันไม่ได้ เขายอมรับในเทคโนโลยีและพลังของ BMW รุ่นใหม่ๆ แต่เสน่ห์ เสียงและความสัมพันธ์ในเชิงคนกับรถที่อยู่กันมาจนชิน ทำให้เขายังยึดติดกับ E34 สีหมอกคันนั้นเสมอ และกล้าที่จะกดแช่เกิน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นระยะทางไกลๆจากกรุงเทพไปเชียงใหม่เสมอ

นี่คงเป็นเสน่ห์ของรถจากค่ายนี้กระมังครับ? โดยเฉพาะในเมื่อมันมีเครื่องหกสูบตำนานมอเตอร์สปอร์ตอยู่ใต้ฝากระโปรง โดยลำพังแค่ตัวรถ BMW ก็มีมนตราบางอย่างที่ทำให้เจ้าของหลงใหลในตัวมันอยู่แล้ว แต่การมีเครื่องยนต์เจ๋งๆเข้าไปด้วย ส่วนผสมที่ได้ออกมา

มันก็คงเหมือนผู้หญิงวัย 30 ต้นๆคนนึงที่แต่งตัวเป็น มีเสน่ห์ เซ็กซี่ และมีกลิ่นเฉพาะตัวที่คุณจะไม่มีวันลืมนั่นล่ะครับ


Source of Information:

  • The Complete Story of M5 by James Taylor
  • BMW by Rainer W. Schelegelmilch/Hartmut Lehbrink/Jochen von Osterroth
  • Road & Track
  • Wheels Magazine

 

 

 

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments