Alpina B10 Bi-Turbo: ซูเปอร์ซาลูนพันธุ์ร้อน จากยุคสิ้นสงครามเย็น

360 แรงม้า…เด็กสมัยนี้ฟังแล้วอาจจะขำ เพราะในยุคอิเล็กทรอนิกส์ที่ทุกอย่างจูนได้ด้วยคอมพิวเตอร์แถมยังมีของแต่งมากมายก่ายกองแบบนี้ ม้า 360 ตัวไม่ใช้พรมแดนศักดิ์สิทธิ์ เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตรใส่เทอร์โบหรือเครื่อง NA ใส่ลูกสูบหัวนูนทำฝาทำแค็มชาฟท์เต็มๆก็ดีดม้าท้ายเครื่องออกมา 360 ตัวได้แล้วและยังขับใช้งานได้ทุกวันแม้ว่าอาจจะไม่ได้ง่ายแบบรถบ้านเกียร์อัตโนมัติก็ตาม แต่ถ้าเป็นพวกเยอรมัน 4 สูบเทอร์โบสมัยใหม่แล้วล่ะก็ไม่ยาก คุณสามารถทำรถแรงขนาดนี้เอาไว้ซิ่งเล่นกับเพื่อนได้ และมันก็ขับง่ายนิสัยดีมากพอที่จะให้แม่ของคุณยืมรถขับไปงานกาล่าดินเนอร์กับบรรดาป้าๆไฮโซได้ด้วยเหมือนกัน

แต่ย้อนกลับไปในปี 1989 การหารถซาลูนหน้าตาสุภาพดูดีสักคันที่มีเรี่ยวแรงขนาดนั้นได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่าว่าแต่พวกซาลูนเลยครับในช่วงก่อนคอมมิวนิสต์รัสเซียล่มสลายนั้น Ferrari Testarossa 12 สูบ 4.9 ลิตรยังมีพลัง 390 แรงม้า Ferrari 348tb ที่ตามมาหลังจากนั้นไม่นานมี 300 แรงม้าถ้วนๆ ส่วนซาลูนกระแสหลักที่ตัวโตเท่ากันนั้นก็เห็นจะมีแต่ AMG Hammer 6.0 V8 ที่ทำแรงม้าได้ 367 ตัวในสเป็คสูงสุด แล้วเราก็มี Alpina B10 Bi-Turbo..รถมาดผู้บริหารอีกคันที่มาแนวใหม่ จับเทอร์โบคู่ใส่เครื่อง 6 สูบและโมดิฟายจนได้ 360 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

AlpinaB10Biturbo_front

เครื่องยนต์ของ Alpina B10 Bi-Turbo นั้น แท้จริงแล้วก็มีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์ M30B34 ที่อยู่ใน 535i นั่นล่ะ มันเป็นเครื่อง 6 สูบเรียงวางเอียง แคมชาฟท์เดี่ยว ควบคุมการจ่ายน้ำมันและจุดระเบิดด้วย Bosch Motronic M1.2 ความจุกระบอกสูบ 3,430 ซี.ซี. ได้มาจากขนาดกระบอกสูบxช่วงชัก 92.0 มม. x 86.0 มม. อัตราส่วนกำลังอัดถูกลดลงจนเหลือเพียง 7.2:1 ท่อนล่างถูกรื้อ ยัดลูกสูบแบบทนพิเศษทำโดย Mahle ส่วนฝาสูบก็รื้อออกทำพอร์ทและแคมชาฟท์ใหม่ ติดเทอร์โบชาร์จคู่ของ Garrett รุ่น T-25 เซ็ตบูสท์เอาไว้ 0.8 บาร์ และสามารถปรับได้ที่สวิตช์ เพิ่ม/ลดบูสท์ระหว่าง 0.4-0.8 บาร์ สร้างพลังสูงสุดได้ 360 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะของ Getrag 290 (อัตราทดเกียร์ 4.02, 2.32, 1.4, 1.0, 0.81 ถอยหลัง 3.74 เฟืองท้าย 3.15)

น้ำหนักตัวรถ 1,764 กิโลกรัม (รวมของเหลว น้ำมันและคนขับ) น้ำหนักตัวเปล่าอยู่ที่ 1,540 กิโลกรัม อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จบภายใน 5.6 วินาที วิ่ง 0-402 เมตรได้ภายในเวลา 13.6 วินาที (มีหลายเจ้าที่ทำเวลาได้ลงไปแตะ 13.4 วินาทีหรือเร็วกว่า) ความเร็วสูงสุดตามสเป็คบอกไว้ว่า “มากกว่า 290 กิโลเมตร/ชั่วโมง” แต่จากการลองอัดจริงของพวกฝรั่ง สามารถไต่ไปได้ถึง 315 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว

AlpinaB10Biturbo_front2

ถ้าให้เทียบกับ M5 E34 ซึ่งก็จัดว่าเป็นรถซาลูนที่แรงอันดับต้นๆของโลกสมัยนั้น B10 Bi-Turbo กินขาดอยู่แล้ว เพราะ M5 นั้นแม้จะใช้เครื่องสเป็คมอเตอร์สปอร์ตที่ปั่นรอบจี๋ได้ 7,000 แต่ก็ทำแรงม้าได้น้อยกว่า คือ 315 แรงม้า ยิ่งแรงบิดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความที่เครื่อง 3.6 ลิตรไม่มีเทอร์โบมาช่วย 360 นิวตัน-เมตรนี่ก็ถือว่าเยอะแล้วสำหรับรถเครื่องหายใจเอง NA ในสมัยนั้น

ช่วงล่างของ E34 เดิมๆ คงไม่พอสำหรับพลังขนาดนี้ Alpina จึงเปลี่ยนสปริง โช้คและเหล็กกันโคลงใหม่ โดยมีให้ลูกค้าเลือก 2 แบบ ถ้าติ๊กเลือก “Alpina Fahrwerk FE5” ก็จะได้โช้คและสปริงโหลดของ Bilstein แต่ถ้าเลือก “Alpina Fahrwerk FE5 Niveau” โช้คด้านหลังก็จะเปลี่ยนเป็นแบบไฮดรอลิกปรับความสูงอัตโนมัติของ Fichtel and Sachs แทน ระบบเบรก ใช้จานเบรกอัพเกรดกับคาลิเปอร์ 4 Pot จานเบรกหน้ามีขนาด 13.1 นิ้ว (ใหญ่กว่าจาน 12.8 นิ้วของ M5) ล้อลาย 20 ก้านของ Alpina ขนาด 17 นิ้ว ด้านหน้าจับคู่กับยางขนาด 235/45R17 ส่วนด้านหลังขยายเป็น 265/40R17

AlpinaB10rear
image source: autowp.ru

สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับพวกเราก็คงเป็นด้วยความที่ชุดท่อร่วมไอเสียและเทอร์โบกินที่ค่อนข้างมาก ทำให้ Alpina B10 Bi-Turbo มีแต่สเป็คพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น พวกเขาผลิตมันตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1989 และเลิกผลิตไปในเดือนมีนาคมปี 1994 และถ้าใครอยากจะหารถตัดจากญี่ปุ่นหรือจากต่างประเทศ ก็ขอให้โชคดีนะครับ เพราะ Alpina ทำรถรุ่นนี้ออกมาขายแค่ 507 คันเท่านั้น

ทำไมขายได้แค่นั้น? ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะราคา 146,000 ดอยชต์มาร์คของมันในสมัยนั้นเกือบจะซื้อ M5 ได้สองคันน่ะสิครับรถพิเศษแบบนี้ ราคาขนาดนี้ ขายได้ปีละ 100 กว่าคันนี่ก็ถือว่าเยอะแล้ว และสำหรับรถพิเศษจากยุคสิ้นสงครามเย็น..รถซาลูนที่มีพื้นฐานมาจากรถผู้บริหารธรรมดา แรงม้าแค่ 211 ตัว เจอมนตราแห่ง Alpina เข้าไปแล้วเป่าเสกพละกำลังออกมาได้มากขนาดนี้ แถมยังทำความเร็วในระดับที่ไล่ล่า Ferrari Testarossa ได้..ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าความรู้สึกที่ได้เป็นเจ้าของรถแบบนี้มันเจ๋งขนาดไหน ลองนึกภาพการเป็นเจ้าของซีรีส์ 5 F10 ที่สามารถวิ่งไล่ Ferrari F12 Berlinetta ได้ดูสิครับ แม้ความเร็วอาจจะคนละเรื่อง แต่ความตื่นเต้นมันเทียบกันได้แน่นอน

ฝากทิ้งท้ายบทความนี้ไว้ด้วยคลิป Alpina B10 Bi-turbo สัก 2 คลิปแล้วกันนะครับ


Credit แหล่งข้อมูล/ภาพ
BMW Blog
Alpina AutomobilesAutomobiles-CatalogAutowp.ru

The following two tabs change content below.

Pan Paitoonpong

Founding Member/Contributing Editor
มนุษย์ปากจัดผู้หลงใหลเสน่ห์ของรถยุค 90s ชื่นชอบรถยนต์ที่ขับสนุกและมีการออกแบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับตัวอ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการขับขี่>>รู้จักกันในชื่อ Commander CHENG ก่อนรีแบรนด์ตัวเองโดยใช้ชื่อจริง>>ทดสอบรถยนต์และเขียนบทความให้กับสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ Headlightmag.com, GQ Magazine และแน่นอน..bimmer-th.com

Comments

comments